ในช่วงปีที่ผ่านมาขึ้นชื่อว่าเป็นอีกปีที่มีความท้าทายอยู่ไม่น้อย หลายวงการมีเรื่องราวมากมายทั้งแง่บวก และแง่ลบ ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็มีการเคลื่อนไหวไม่น้อยหน้าจากธุรกิจอื่น หลายแบรนด์ต่างพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทุกเซ็กเมนต์
AssetWise หรือ บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ของไทย ขึ้นแท่นบริษัทที่น่าจับตามองอย่างมากในปีนี้ ด้วยความที่มีการพัฒนาโครงการที่หลากหลายทั้งแนวราบ และแนวสูง คอนโด บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม เรียกว่าเก็บครบทุกเซ็กเมนต์ที่ตลาดต้องการ แถมล่าสุดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ยังเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับท็อป 10 ที่มีรายได้สูงที่สุดอีกด้วย
ในช่วงหลายปีมานี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้เริ่มมองโอกาสในการพัฒนาโครงการนอกเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากขึ้น มีการเริ่มโครงการในหัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว รวมไปถึงขตเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น
ทางแอสเซทไวส์ได้ขยายการลงทุนไปยังสุดยอดโลเคชันศักยภาพแห่งหนึ่งในประเทศไทย นั่นก็คือ “ภูเก็ต” ผ่าน “ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือแอสเซทไวส์ หลังจากที่ได้เข้าถือหุ้นสัดส่วน 67.94% ในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เมื่อไม่นานมานี้
ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการ Leisure Residences ในภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “เดอะ ไทเทิล” (THE TITLE) ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 12 ปี และมีโครงการที่อยู่อาศัยกระจายอยู่ตามทำเลศักยภาพ 3 ทำเล คือ บางเทา ในยาง และราไวย์ ซึ่งเป็น Strategic Locations ที่โดดเด่นทั้งด้านการเดินทาง ความงดงามของธรรมชาติ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถรองรับการพักอาศัยระยะยาว (Long-Stay) และท่องเที่ยวระยะสั้น
การที่แอสเซทไวส์เข้าซื้อกิจการถือหุ้นใหญ่ เป็นทางลัดที่ทำให้ขายธุรกิจมายังภูเก็ตได้โดยปริยาย โดยมีผู้เล่นระดับโลคอลที่รู้พฤติกรรมของคนพื้นที่อย่างดี เติมเต็มพอร์ตฟอร์ลิโอให้แน่นขึ้น ขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าระดับอินเตอร์ และยังเป็นการอัพภาพลักษณ์แบรนด์ให้มีมูลค่ามากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
เรียกได้ว่า THE TITLE จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ ที่ทำให้แอสเซทไวส์เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ และเพิ่มรายได้ให้เติบโตมากขึ้น รวมถึงความหลากหลายในการพัฒนาโครงการโลเคชั่นใหม่ๆ อีกด้วย
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“วันนี้เราได้พิสูจน์แล้วว่า กลยุทธ์ Expand ขยายทำเลมายังภูเก็ต เป็นอีกหนึ่ง Key Success ที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับเครือแอสเซทไวส์ได้อย่างมั่นคงตามแผน The New Frontiers ที่เราประกาศไว้ แต่นอกเหนือจากมิติด้านการเติบโตแล้ว ASW และ TITLE ยังต้องการพัฒนาแบรนด์ THE TITLE ให้เป็นเสมือน Heaven Bestination จุดหมายปลายทางที่คนทั่วโลกอยากมาสัมผัสประสบการณ์และใช้ชีวิตด้วย เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ควบคู่กับการสร้างสรรค์ Community ที่แข็งแกร่ง เพื่อให้ภูเก็ตเป็นเมืองที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน”
ถ้าพูดถึงจังหวัดภูเก็ตในตอนนี้ ไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นเพียงหัวเมืองใหญ่ หรือเมืองท่องเที่ยวได้อีกต่อไป เพราะขึ้นแท่นเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการเดินทางเข้ามาพักระยะยาว หรือพักในช่วงเกษียณอายุเลยก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวต่างชาติล้วนหลงใหลในเสน่ห์ของเมืองภูเก็ตกันทั่วโลก เราจึงได้เห็นอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตบูมมากเป็นพิเศษ
สมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตได้ฉายภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตปี 2567 ได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ
ส่งผลให้กำลังซื้อของคนในพื้นที่แข็งแกร่งขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย
โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมในภูเก็ตทั้งหมด มูลค่ารวมประมาณ 33,730 ล้านบาท หรือขยายตัวขึ้นราว 7.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 ด้านยอดขายใหม่ของคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีจำนวน 4,497 หน่วย ขยายตัวขึ้น 259.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีมูลค่าทั้งหมดราว 40,190 ล้านบาท เติบ โตขึ้น 799% ซึ่งทำเลที่มียอดขายใหม่โดดเด่นมากที่สุดคือ “หาดบางเทา-หาดสุรินทร์” จำนวน 2,202 หน่วย หรือคิดเป็น 48.97% ของจำนวนหน่วยยอดขายใหม่ทั้งหมด
ด้วยศักยภาพของภูเก็ต ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้จึงได้พัฒนาแบรนด์ THE TITLE ให้เป็นเสมือน “Heaven Bestination” จุดหมายปลายทางของทุกประสบการณ์ความสุขที่ไม่ใช่เพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ที่ผสมผสานความเงียบสงบและความงดงามของธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพยนตร์โฆษณา The Title Heaven Bestination เล่าเรื่องราวของผู้คนมากมายที่ลากกระเป๋าบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเดินทางมายังภูเก็ต ซึ่งเป็น World Destination จุดมุ่งหมายสำหรับการพักผ่อนของผู้คนทั่วโลก ที่มีกิจกรรมทั้ง Day Life และ Night Life อีกทั้งแต่ละหาดยังมี Character และมนต์เสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป
ซึ่งโครงการของ THE TITLE จะยิ่งเข้าไปช่วยเติมเต็มความสุขของผู้อยู่อาศัยในภูเก็ตมากยิ่งขึ้น ผ่านประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สะดวกสบายแบบทุกมิติ
เปิดเพิ่มอีก 4 โปรเจ็คต์ มูลค่า 15,500 ล้านบาท และคอมมูนิตี้มอลล์
ล่าสุดไฮซีซั่นนี้ (2024-2025) ร่มโพธิ์พร็อพเพอร์ตี้ เตรียมแผนเปิดโครงการใหม่ภูเก็ต 4 โครงการ มูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท ปักหมุดทำเลบางเทา, กะตะ และราไวย์ ได้แก่
นอกจากโครงการที่อยู่อาศัยแล้วยังมี Mingle Naiyang คอมมูนิตี้มอลล์ที่เพียบพร้อมไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ อาทิ Tops Supermarket ที่จะเปิดบริการเต็มรูปแบบไตรมาส 1 ปี 2568 เรียกได้ว่าไม่ได้เป็นแค่เพียงการสร้างที่อยู่อาศัย
แต่ยังสร้างคอมมูนิตี้ให้น่าอยู่กับชุมชนในภูเก็ตอีกด้วย โดยใน Mingle Naiyang จะมีสำนักงานขายใหม่ ซึ่งเป็นห้องตัวอย่างโครงการ The Title Serenity Naiyang รวมถึงโครงการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่โซนในยางอีกด้วย
ปัจจุบันแอสเซทไวส์ และ TITLE มีคอนโดมิเนียมที่พัฒนาร่วมกันทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวม 31,500 ล้านบาท จากความสำเร็จของแบรนด์ THE TITLE ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ทำให้ภาพรวมยอดขายของแอสเซทไวส์มียอดขายสะสม 9 เดือนแรกปี 2567 ทั้งหมด 14,578 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนที่มาจาก TITLE คิดเป็น 43% ของยอดขายสะสม ทั้งนี้ ปัจจุบัน TITLE มี Backlog สะสมทั้งหมดราว 8,022 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 จากเดอะ ไทเทิล ฮาโล 1 (THE TITLE HALO 1) และคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากโครงการอื่นๆ ต่อเนื่องจนถึงปี 2570
#HeavenBestination #AssetWise #TheTitle #RhombhoProperty #Phuket #LeisureCondominium
]]>บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML เปิดตัวโครงการใหม่ “THE 528 ESTATE” มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่มีบ้านเดี่ยวเพียง 4 หลัง สนนราคาเริ่มต้นหลังละ 880 ล้านบาท
ทำเลโครงการตั้งอยู่ในย่านพร้อมพงษ์ เป็นที่ดิน 2 ไร่ วางแปลนบ้าน 2 หลังจะหันหน้าเข้าออกทาง ซ.สุขุมวิท 28 และอีก 2 หลังจะหันหน้าเข้าออกทาง ซ.สุขุมวิท 30 ซึ่งทั้งสองซอยเป็นซอยตัน ให้ความเป็นส่วนตัวสูง ไม่พลุกพล่าน แต่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม และสวนเบญจสิริ เหมาะกับการใช้ชีวิตใจกลางเมือง
“กฤษณ์ ณรงค์เดช” ประธานคณะกรรมการ RML เปิดเผยถึงรายละเอียดโครงการว่า สถาปัตยกรรมของบ้านโครงการนี้จะใช้สไตล์ผสมผสานระหว่างอาคารยุคศตวรรษที่ 18 ในกรุงปารีสกับอาคารหรูยุคศตวรรษที่ 19 บนนถนน Fifth Avenue เมืองนิวยอร์ก ทำให้ได้อาคารที่มีความคลาสสิก เหนือกาลเวลา
ขณะที่ชื่อ “528” นั้น กฤษณ์อธิบายว่าเป็นตัวเลขมงคลจากการคำนวณทางโหราศาสตร์โดยอาจารย์ชื่อดังจากฮ่องกง มีความหมายว่า “ร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง” อาจารย์ทางโหราศาสตร์ท่านนี้ยังเป็นผู้คำนวณฮวงจุ้ยทั้งหมดของบ้านทุกหลังในโครงการไว้แล้ว
สำหรับรายละเอียดตัวบ้านแต่ละหลัง “กรณ์ ณรงค์เดช” กรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร RML กล่าวว่า บ้านแต่ละหลังจะก่อสร้างบนที่ดินขนาดกว่า 200 ตารางวา เป็นอาคาร 7 ชั้น (6 ชั้น + 1 ชั้นใต้ดิน) พื้นที่ใช้สอย 2,300-2,700 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 8 ห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว และที่จอดรถ 11 คัน
ชั้นใต้ดินดังกล่าวจะเป็นที่จอดรถ โดยออกแบบความสูง กว้าง ยาว และมุมสโลปให้พอดีกับ “ซูเปอร์คาร์” ขึ้นลงลานจอดได้สะดวก และกว้างขวางพอที่จะจอด “Rolls-Royce Phantom” รถหรูสุดฮิตของกลุ่มเศรษฐีได้
ขณะที่ชั้น 1-2 เป็นโซนรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ถัดไปชั้น 3-5 เป็นห้องนอนทั้งหมด มีลิฟต์ในตัว ทำให้สามารถอยู่รวมกันได้หลายเจนเนอเรชัน แต่ยังมีความเป็นส่วนตัวในแต่ละชั้นของบ้าน
ส่วนชั้นบนสุดของบ้านจะเป็นชั้นสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัว ได้แก่ สระว่ายน้ำยาว 11 เมตร ฟิตเนส และสปา
กรณ์กล่าวว่า โครงการนี้ทาง RML ยังจับมือกับ “Baccarat” แบรนด์เครื่องแก้วเจียระไนคริสตัลจากฝรั่งเศส เปิดแพ็กเกจในการตกแต่งภายในให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นแพ็กเกจเสริมที่แล้วแต่ลูกค้าเลือกชิ้นงานเข้ามาตกแต่งบ้าน จึงทำให้ราคาบ้านรวมตกแต่งแล้วในโครงการนี้อาจจะทะลุ 1,000 ล้านบาทได้
“เรย์มอนด์ เฉิน” ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจระดับภูมิภาค บาคาร่าต์ ฟาร์อีส ลิมิเต็ด กล่าวถึงแบรนด์ Baccarat ของบริษัทว่าเป็นผู้ผลิตเครื่องแก้วทำมือมานาน 260 ปี มีชิ้นงานกลุ่มแชนเดอเลียร์ โคมกิ่ง โคมตั้งโต๊ะ เครื่องแก้วบนโต๊ะอาหาร ที่ผ่านมา Baccarat มีลูกค้าทั้งกลุ่มราชวงศ์ยุโรป สุลต่าน และเซเลปดาราชื่อดัง และใช้แบรนด์ในการเข้าสู่ธุรกิจฮอสพิทาลิตี้มาแล้วหลายแห่ง เช่น Baccarat Hotel New York หรือ Baccarat Miami Residence ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์แล้วเชื่อว่าจะช่วยเติมเต็มโครงการ THE 528 ESTATE ได้
กรณ์กล่าวต่อว่าโครงการ THE 528 ESTATE นี้มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีความมั่งคั่งสูงทั้งในไทยและต่างประเทศ จึงมีการแต่งตั้งให้ “List Sotheby’s International Realty” ผู้เชี่ยวชาญด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี เป็นผู้ทำตลาดในต่างประเทศ
กฤษณ์เสริมว่า การเชิญ List Sotheby’s มาช่วยในการขายเพราะมองว่าโครงการนี้ไม่ใช่เพียงอสังหาฯ ธรรมดา แต่อยู่ในระดับที่เป็น “ของสะสม” ที่มีคุณค่า และมองกรุงเทพฯ ในวันนี้ถือเป็นเมืองที่อยู่อาศัยระดับโลกที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจ ทั้งนี้ หากมีต่างชาติสนใจซื้อ กรณ์กล่าวว่าบริษัทจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายให้คำปรึกษาเพื่อครอบครองกรรมสิทธิ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ไทม์ไลน์โครงการ THE 528 ESTATE เริ่มเปิดขายตั้งแต่วันนี้ จะเริ่มก่อสร้างต้นปี 2568 และสร้างเสร็จปลายปี 2570 แต่กฤษณ์วางเป้าว่าจะปิดยอดขายให้ได้ภายในปีหน้า
สำหรับย่านสุขุมวิทช่วงทองหล่อ-พร้อมพงษ์นั้นเป็นย่านที่ ‘ฮอต’ ขึ้นเรื่อยๆ ในการปั้นเป็นทำเลอสังหาฯ ระดับอัลตราลักชัวรี โดยก่อนหน้านี้ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เพิ่งจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม “ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก” ราคา 525 – 1,400 ล้านบาท ทั้งตึกมีเพียง 22 ยูนิต และวางเป้าหมายลูกค้าจากทั่วโลกเช่นเดียวกัน
โครงการหรูในมือของ RML นั้นยังมีอีกหลายแห่ง ที่กำลังเป็นที่จับตามองคือโปรเจ็กต์ “คฤหาสน์ริมน้ำ 1,000 ล้านบาท” ซึ่งจะมีหลังเดียว โดยเป็นการรีโนเวตมาจากเซลส์แกลลอรีเดิมของโครงการ The River ทำเลบนถนนเจริญนครช่วงสะพานตากสิน ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างออกแบบและอาจจะเปิดขายได้ในปี 2568
]]>“ณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์” หัวหน้าสายงานการตลาด บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยกลยุทธ์การตลาดของ SC Asset ปี 2567 ว่า ปีนี้ต้องใช้กลยุทธ์ที่ต่างออกไปหลังจากสถานการณ์ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการ (Site Visit) น้อยลงกว่าปกติ 20% เนื่องจากลูกค้าบางส่วนลังเลที่จะตัดสินใจซื้อบ้านท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน จึงเลือกที่จะไม่เข้ามาชมไซต์
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ทางบริษัทต้องหาทางจูงใจ ด้วยการเปิดแคมเปญ “SC Asset Mart” เดินสาย “ออกบูธ” ตามศูนย์การค้าเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่กำลังมีแผนจะซื้อบ้านลองแวะมาดูโครงการที่อาจจะสนใจก่อน
รวมถึงภายในบูธจะใช้กลยุทธ์ด้าน “ราคา” จูงใจ คัดแปลงพิเศษทำราคาลดสูงสุด 30% ลดเลยไม่ต้องรอโปรโมชันปลายปี เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจจองล็อกราคา ก่อนจะเข้าเยี่ยมชมไซต์โครงการเพื่อทำสัญญาอีกครั้ง
แคมเปญนี้เริ่มจัดครั้งแรกที่ “เซ็นทรัล ลาดพร้าว” เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน SC Asset เดินสายออกบูธไปแล้ว 4 ครั้ง กวาดยอดขายรวม 3,620 ล้านบาท
หลังจากนี้จะมีการจัดบูธอีก 6 ครั้ง แบ่งเป็นภายในไตรมาส 3 ได้แก่ เซ็นทรัล เวสต์เกต, เอ็มสเฟียร์ และ ไอคอนสยาม ส่วนในไตรมาส 4 จะมีอีก 3 ครั้ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ สยามพารากอน
“ปกติเราออกบูธแบบนี้มากที่สุดไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี ปีนี้จัดเต็มมากที่จัดถึง 10 ครั้ง” ณัฏฐกิตติ์กล่าว “แน่นอนว่ายอดจองในงานก็อาจจะมี 30-40% ที่ไม่ทำสัญญาจริง มีการเปลี่ยนใจทีหลังหลังจากมาชมไซต์อาจจะยังไม่ถูกใจ แต่ยอดขายที่ได้โอนจริงก็ถือว่าน่าพอใจ ดีกว่าไม่ออกบูธที่อาจจะทำให้เราไม่ถึงเป้าได้”
ด้าน “มงกุฎ เตโชฬาร” หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยถึงแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบของ SC Asset ในปี 2567 ว่า ช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีการเปิดตัวไปแล้ว 9 โครงการ มูลค่ารวม 18,450 ล้านบาท
ส่วนในครึ่งปีหลัง บริษัทจะมีการเปิดตัวอีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท ทำให้การเปิดตัวกลุ่มโครงการแนวราบของบริษัทครบ 15 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 กว่าล้านบาท ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ในช่วงต้นปี
สำหรับ 6 โครงการแนวราบที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังของ SC Asset ได้แก่
ณัฏฐกิตติ์กล่าวต่อว่า เป้าหมายยอดขายแนวราบของ SC Asset ยังคงเป้าที่ 18,000 ล้านบาท ไม่ได้ปรับลด เนื่องจากการเปิดขายโครงการใหม่ยังทำยอดได้ตามเป้า โดยเฉพาะกลุ่มบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปตลาดยังไปได้พอสมควร และเป็นเซ็กเมนต์ที่บริษัทมีฐานลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์และสไตล์การออกแบบ ทำให้มีการซื้อซ้ำและบอกต่อ
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปของ SC Asset ก็ได้รับผลกระทบจากความเข้มงวดในการให้กู้สินเชื่อบ้านของธนาคารเช่นกัน เพราะเมื่อปี 2566 อัตราปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) ของลูกค้ากลุ่มนี้จะอยู่ที่ 7-8% เท่านั้น แต่ปี 2567 ขยับขึ้นมาเป็น 10-14% แล้ว ขณะที่กลุ่มบ้านราคาไม่เกิน 10 ล้านบาทก็ยังถูกปฏิเสธสินเชื่อทรงตัวที่ 19% เท่ากับปีก่อน ทำให้ภาพรวมบริษัทจะต้องหายอดจองให้ได้มากขึ้นเพื่อชดเชยกับลูกค้าบางส่วนที่อาจจะกู้ไม่ผ่าน
ณัฏฐกิตติ์กล่าวปิดท้ายว่า สำหรับตลาดแนวราบในปี 2568 เชื่อว่าการเปิดซัพพลายใหม่ในตลาดโดยเฉพาะกลุ่มบ้านหรูน่าจะเริ่มลดลง เพราะปีนี้ถือว่าหลายบริษัทหันมาเข้าตลาดเซ็กเมนต์นี้กันหมดแล้ว ปีหน้าจึงอาจจะเห็นภาพการชะลอตัวได้
]]>“ธีรเดช เกิดสำอางค์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือออริจิ้นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทโครงการแนวราบ กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 8 นับจากการก่อตั้งบริษัท เตรียมลุยตลาดภายใต้แผน “รังสรรค์เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง”
แผนธุรกิจปี 2567 ของบริทาเนีย วางเป้าเปิดตัวโครงการ 20 โครงการ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท มีเป้ายอดขาย 13,000 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ 8,000 ล้านบาท
โครงการใหม่ที่จะเปิดในปีนี้แบ่งเป็น 5 กลุ่มตามแบรนด์ของบริษัท คือ
ภาพรวมปีนี้สังเกตได้ว่าบริทาเนียเน้นตลาดระดับกลางถึงระดับลักชัวรีเกือบทั้งหมด กลุ่มตลาดกลางล่างมีเพียงโครงการเดียวคือ ไบรตัน ศรีราชา เป็นโครงการทาวน์โฮมราคาเริ่ม 2.8 ล้านบาท
แผนธุรกิจปี 2567 เทียบกับปี 2566 นับว่า “ทรงตัว” ไม่บุกหนัก โดยปีก่อนนี้บริทาเนียมีการเปิดตัวไป 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,500 ล้านบาท และสร้างยอดขายได้ 12,500 ล้านบาท
ธีรเดชกล่าวว่า ปีก่อนบริทาเนียเปิดตัวต่ำกว่าเป้าเดิมที่วางไว้ 20 โครงการ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา ทำให้บริษัทชะลอการเปิดตัวเพื่อความยั่งยืนของบริษัท และย้ายโครงการที่ยังไม่ได้เปิดตัวปีก่อนมาเปิดในปี 2567 แทน
การเปิดตัวโครงการใหม่ของบริทาเนียปีนี้เน้นลุยในตลาดต่างจังหวัดด้วย โดยมี 12 โครงการที่จะเปิดใน 6 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา ระยอง และชลบุรี มูลค่ารวมโครงการที่เปิดในต่างจังหวัด 9,000-10,000 ล้านบาท หรือเกิน “ครึ่งหนึ่ง” ของโครงการเปิดใหม่ปีนี้
ธีรเดชกล่าวด้วยว่า โมเดลธุรกิจของบริทาเนียเปิดกว้างในการ ‘JV’ (Joint Venture) ร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินหรือดีเวลอปเปอร์ท้องถิ่น โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดเกือบทั้งหมดเป็นโครงการที่ผ่านการ JV ส่วนในกรุงเทพฯ ปีนี้มีทั้งหมด 4 โครงการที่ลงทุนแบบ JV รวมทั้งหมดมีถึง 16 โครงการปีนี้ที่ร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน
“ข้อดีคือเราไม่ต้องลงทุนหนักในการเก็บที่ดินซึ่งเป็นสินทรัพย์ เป็นผลดีในแง่โมเดลทางการเงิน” ธีรเดชกล่าว “ส่วนความท้าทายคือแน่นอนว่าการมีสองฝ่ายลงทุนร่วมกันก็จะต้องใช้เวลามากขึ้นในการทำงาน”
ขณะที่ฝั่งดีเวลอปเปอร์ท้องถิ่นก็จะได้ประโยชน์ในแง่ของเงินทุน แบรนด์ การตลาด และ knowhow ต่างๆ ในด้านการออกแบบก่อสร้างด้วย
โมเดลการทำงานลักษณะนี้ บริทาเนียเริ่มต้นอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2566 จนทำให้ปัจจุบันมีที่ดินเก็บไว้ทั้งหมด 23 แปลง เพียงพอในการพัฒนาโครงการได้อีก 2-3 ปี ในจำนวนนี้มีถึง 14 แปลงที่เป็นที่ดินเซ็นสัญญาร่วมทุน
“คาดการณ์ภาคอสังหาฯ ปีนี้ตลาดน่าจะยังทรงตัว เพราะจีดีพีปีก่อนเติบโต 1.9% ส่วนปีนี้มีคาดการณ์ว่าจะโตไม่เกิน 3% ทำให้เราเปิดตัวใกล้เคียงเดิมให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ” ธีรเดชกล่าว “แต่ในครึ่งปีหลังก็หวังว่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะลดลง และคาดว่าจะมีมาตรการรัฐมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น”
]]>Positioning มีโอกาสพูดคุยรายละเอียดกับ “ศรีอำไพ รัตนมยูร” ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถึงคอนเซ็ปต์ของทั้ง 4 แบรนด์ว่าจะเป็นแบบไหน? และแสนสิริยังมีเซ็กเมนต์ใหม่ให้ไปจับอีกหรือ?
“เรามีแบรนด์ที่หลากหลายขึ้นเพราะตลาดมีความ fragment (แยกย่อย) เยอะขึ้น ขณะที่เรามีการออกแบบโครงการโดยยึดลูกค้าเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ทำให้มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองลูกค้าเฉพาะกลุ่ม แต่ขนาดโครงการก็อาจจะเล็กลงเพราะเฉพาะตัวมากกว่าเดิม” ศรีอำไพอธิบาย
แสนสิริประกาศมาแล้วว่าจะมี 1 โครงการในทำเลกรุงเทพกรีฑา เป็นโปรดักส์บ้านเดี่ยวราคา 45-70 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท
ปกติแบรนด์บ้านระดับบนของแสนสิริจะมี “เศรษฐสิริ” ที่เล่นตลาดราคา 15-30 ล้านบาท ขึ้นมาเป็น “บูก้าน” ในราคา 30-70 ล้านบาท ส่วน “นาราสิริ” จะเป็นบ้านสุดหรูราคา 60-100 ล้านบาท
ดูเหมือนจะครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์แล้วก็จริง แต่ศรีอำไพระบุว่าลูกค้ามี feedback มาเยอะมากว่าอยากได้บ้านราคาบูก้าน แต่ดีไซน์ยังมีความคอนเซอร์เวทีฟแบบนาราสิริ พูดง่ายๆ คืออยากได้ ‘นาราสิริ จูเนียร์’ ในราคาเอื้อมถึงได้มากขึ้น
เป็นที่มาของการแตกแบรนด์นามสกุล ‘สิริ’ ออกมาใหม่อีกแบรนด์หนึ่งคือ “ณริณสิริ”
แผนจะเปิดทั้งหมด 6 ทำเล แต่มูลค่าโครงการรวมกันเพียง 840 ล้านบาท
เนื่องจากแบรนด์นี้จะเป็นการเข้าตลาดโครงการบ้านเดี่ยวกลางเมืองหรือใกล้เมืองบนที่ดินขนาดเล็กในซอย ทำได้เพียง 5-7 หลัง ราคาหลังละ 20-60 ล้านบาท
ศรีอำไพมองว่า เห็นความต้องการจากกลุ่มลูกค้าที่ไม่เน้นโครงการใหญ่ ไม่ต้องมีส่วนกลางอลังการ แต่ทำเลต้องยังอยู่ในเมืองหรือเข้าเมืองสะดวก และยิ่งมีน้อยหลังกลับยิ่งชอบเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวสูง
ถือว่าแมตช์พอดีกับการหาที่ดินของแสนสิริ เพราะยุคนี้หาที่ดินแปลงใหญ่ในเมืองยากมาก หากได้ที่ดินขนาดเล็กมาแต่สามารถพัฒนาโครงการขายได้ก็ถือว่าวิน-วิน
สุดท้ายในกลุ่มแบรนด์ใหม่แนวราบคือ Mabel เป็นบ้านเดี่ยว 5-7 ล้านบาท จะสร้าง 1 โครงการทำเลบางนา กม.26 มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท
ราคาแบรนด์นี้น่าจะไปทับไลน์กับ “อณาสิริ” แต่ศรีอำไพอธิบายว่า Mabel จะต่างออกไปคือการสร้างเป็นบ้านเดี่ยวทั้งหมด ในราคาที่ใกล้เคียงกับบ้านแฝดในอณาสิริ (ซึ่งเป็นโครงการประเภทมิกซ์โปรดักส์ มีได้ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม แล้วแต่ทำเล)
แนวคิดเกิดจากพบกลุ่มลูกค้าที่ยอมแลก ยอมอยู่ในทำเลที่ไกลเมืองออกไปอีก แต่ต้องการพื้นที่ใหญ่ ในแพ็กเกจราคา 5-7 ล้านบาทเท่าเดิม รวมถึงงานดีไซน์ก็จะออกแบบใหม่ไม่เหมือนกับอณาสิริ ส่วนนี้ต้องรอชมภาพกันต่อไป
ปิดท้ายที่คอนโดฯ ใหม่แบรนด์ Pynn จะเปิด 2 ทำเลคือ ศูนย์วิจัย กับ ปรีดี 20 (ยังไม่แจ้งมูลค่าโครงการ)
ศรีอำไพบอกว่า มองง่ายๆ คือการได้ที่ดินคล้ายกับโครงการ Else มา เป็นที่ดินเล็ก 200-300 ตร.ว. ในซอยต่างๆ ไม่สามารถขึ้นคอนโดฯ ขนาดใหญ่ได้
แสนสิริจึงพัฒนาเป็นคอนโดฯ จำนวนยูนิตน้อยไม่เกิน 79 ยูนิต ไม่มีส่วนกลางมากมาย แต่แลกมาด้วยทำเลที่ใกล้เมืองจริงๆ โดยช่วงราคาจะถือว่าเป็น “ระดับกลาง” ของแสนสิริ (แปลว่าน่าจะได้เห็นราคาที่ 100,000 บาทต่อตร.ม.ขึ้นไป)
ทั้งหมดคือแผนการทำแบรนด์ 4 แบรนด์ใหม่ของแสนสิริในปีนี้!
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
]]>ตามแผนของบริษัทที่ประกาศไว้ช่วงต้นปี 2566 “สิงห์ เอสเตท” จะหันมารุกตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีเป็นหลัก จากเดิมเน้นการพัฒนาคอนโดมิเนียมหรู และจะกระจายเซ็กเมนต์ ไม่ได้มีแค่ “บ้านร้อยล้าน” อย่างเคย แต่จะลงไปจนถึงบ้านราคา 10 ล้านบาทเลยทีเดียว
ล่าสุด “ณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S นำทีมผู้บริหารเปิดตัวโครงการ “S’RIN (สริน) ราชพฤกษ์–สาย 1” มูลค่าโครงการกว่า 3,700 ล้านบาท
ทำเลโครงการอยู่บนถนนพุทธมณฑลสาย 1 ที่ดิน 45 ไร่ แบ่งแปลงทั้งหมด 89 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยว 3 ไทป์ 4-5 ห้องนอน ขนาดที่ดิน 110-168 ตร.ว.ต่อแปลง เปิดขายราคาหลังละ 39-75 ล้านบาท
โครงการนี้เป็นโครงการแรกที่บริษัทลงมาจับตลาดราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 50 ล้านบาท ถือเป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ ตลาดใหม่ของสิงห์ เอสเตท
โดยณัฐวุฒิกล่าวว่า บริษัทยังใช้ปรัชญาเดิมในการแข่งขันในตลาดคือพัฒนาสินค้า ‘Best in Class’ ยกตัวอย่างโครงการนี้ถือว่าราคาเริ่มต้นสูงกว่าคู่แข่งในทำเลสาย 1 ที่มักจะพัฒนาบ้านเดี่ยวราคา 30 ล้านต้นๆ แต่สิงห์ เอสเตทเลือกจับตลาดอีกระดับ โดยมีองค์ประกอบที่ส่งเสริม เช่น ทำเลติดถนนใหญ่, แบ่งแปลงที่ดินและขนาดบ้านใหญ่ขึ้น, ออกแบบถนนส่วนกลางให้เหมาะกับซูเปอร์คาร์ เป็นต้น
หลังจากเปิดซอฟต์ลอนช์มา 2 สัปดาห์ มียอด walk-in ชมโครงการแล้วกว่า 130 ราย และจองแล้ว 10 ราย คิดเป็นมูลค่ายอดจอง 600 ล้านบาท สะท้อนผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า เชื่อว่าโครงการน่าจะปิดการขายได้หมดภายในช่วงต้นปี 2569
ปัจจุบันสิงห์ เอสเตท จัดแบรนด์ประกบกับระดับราคาที่มีแผนการทำตลาดไว้ ดังนี้
สำหรับบ้านเดี่ยวกลุ่ม “ลักชัวรี” ของสิงห์ เอสเตท ณัฐวุฒิกล่าวว่า เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการแบรนด์ “SHAWN” ใน 2 ทำเล คือ ปัญญาอินทรา และ วงแหวน-จตุโชติ เป็นบ้านเดี่ยวในกลุ่มราคาเริ่มต้น 15-30 ล้านบาท
ดังนั้น แผนการเปิดตัวโครงการของ “สิงห์ เอสเตท” ปี 2566 จะครบตามเป้าหมาย 5 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท (*โครงการที่เปิดตัวไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก ได้แก่ “LA SOIE de S สุขุมวิท 43” และ “SMYTH’s รามอินทรา”)
ณัฐวุฒิกล่าวต่อถึงแผนปี 2567 ว่า น่าจะเป็นครั้งแรกที่ธุรกิจที่พักอาศัยของสิงห์ เอสเตทจะลงทุนในต่างจังหวัด เป็นไปได้ที่จะมีทั้งแนวราบและคอนโดฯ
“เป็นไปได้ที่จะลงในจ.ภูเก็ต เพราะกลุ่มสิงห์ เอสเตทเราทำธุรกิจโรงแรมที่นั่น ซึ่งจะทำให้มีสิทธิประโยชน์ส่งเสริมกันได้” ณัฐวุฒิกล่าว
ปัจจุบันโรงแรมในเครือสิงห์ เอสเตทเฉพาะที่อยู่ในประเทศไทยมีทั้งหมด 4 แห่ง ในจ.ภูเก็ต, เกาะสมุย และเกาะพีพี
ส่วนแบรนด์ใหม่ที่จะมาเจาะตลาดบ้านเดี่ยวราคาเริ่ม 10-15 ล้านบาท ณัฐวุฒิยังไม่ยืนยันว่าจะเปิดตัวเมื่อไหร่ เพราะยังอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม เนื่องจากกระบวนการก่อสร้างจะแตกต่าง
ด้านการจอยต์เวนเจอร์ร่วมทุนก็ยังคงเปิดกว้างทุกดีลที่น่าสนใจและในทุกเซ็กเมนต์ ปัจจุบันมีผู้ต้องการร่วมทุนหลายรายติดต่อเข้ามาทั้งในไทยและจากต่างประเทศ
“มีเข้ามาหมดทั้งดีเวลอปเปอร์ที่ทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว หรือแลนด์ลอร์ดที่ต้องการคนมาพัฒนาบนที่ดินของตนเอง” ณัฐวุฒิกล่าว “จริงๆ แผนหลักของเราคือเราต้องการทำเองมากกว่า แต่ก็เปิดกว้างถ้ามีดีลร่วมทุนที่เหมาะสม”
]]>ตามแผนที่แถลงไว้ตั้งแต่ต้นปี 2566 ว่าปีนี้ “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” จะมีการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี เซ็กเมนต์สูงสุดที่บริษัทเคยพัฒนามา ล่าสุด “เพชรลดา พูลวรลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมเจอร์ฯ ประกาศความพร้อมแล้วว่า โครงการ “10 & Only” (เทน แอนด์ โอนลี่) บ้านเดี่ยวราคา 80-130 ล้านบาท เตรียมเปิดจองช่วงเดือนสิงหาคมนี้
โครงการ 10 & Only เป็นโครงการบ้านเดี่ยวที่มีเพียง 10 หลังตามชื่อโครงการ ทำเลตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 20 โดยใช้แรงบันดาลใจกลิ่นอายจากอาคาร “บาร์เซโลนา พาวิลเลียน” ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Ludwig Mies van der Rohe เจ้าของคอนเซ็ปต์การออกแบบ “Less is More” มีฐานการออกแบบในสไตล์โมเดิร์น ผสมกลิ่นอายความคลาสสิกเข้ามาให้เกิดความลงตัว และทำให้เป็น “Timeless Design” ที่ไม่ล้าสมัยเมื่อเวลาผ่านไป
บ้านในโครงการนี้จะเป็นบ้านเดี่ยว 3 ขนาด สูง 3-4 ชั้น ที่ดินขนาดตั้งแต่ 91-114 ตารางวา เป็นบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ได้ 3 เจนเนอเรชัน
แต่ไฮไลต์ที่แท้จริงของ 10 & Only อยู่ที่ “โรงรถ” เพราะบ้านแต่ละหลังมีที่จอดรถขั้นต่ำ 5 คัน และต่อเติมให้จอดได้สูงสุด 12 คัน เหมาะกับบ้านคนรักรถ
ที่สำคัญคือ จะมีพื้นที่จอดรถส่วนหนึ่งที่เป็น Duplex และเข้าไปอยู่ภายในบ้าน ที่จอดรถ 2 ชั้นนี้จะเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่เลาจน์ห้องสังสรรค์รับแขก ขนาบอีกด้านด้วยสระว่ายน้ำ เป็นโซน “Duplex Supercar Lounge” ออกแบบเพื่อเป็นพื้นที่ในฝันของนักสะสมรถ โดยเฉพาะซูเปอร์คาร์ รถคลาสสิก รถหรูที่มีความพิเศษ ควรค่าแก่การจัดแสดงในพื้นที่บ้านเพื่อให้เจ้าของได้ชื่นชมทุกวัน และสามารถชวนเพื่อนๆ มาชื่นชมด้วยกันได้
เพชรลดากล่าวว่า บ้านหลังนี้คิดจากอินไซต์คนรักรถที่ “มีรถเท่าไหร่ก็คงไม่พอ” และต้องการพื้นที่ไว้แสดงรถ ส่วนพื้นที่โรงรถปกติก็จะต้องมีที่จอดให้กับรถบ้าน รถตู้ครอบครัว พร้อมจุดชาร์จ EV รองรับเทคโนโลยีอนาคต
ภายในบ้านยังมีเทคโนโลยีเพื่อ “สุขภาพ” และความสะดวกสบายต่างๆ ด้วย เช่น ระบบบ้านเย็น, บ้านปลอดฝุ่น, ระบบ Home automation ซึ่งระบบบ้านเย็นและปลอดฝุ่นนี้จะเป็นผลดีกับการเก็บรักษารถในบ้านด้วย
10 & Only จะเริ่มก่อสร้างภายในไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าจะสร้างเสร็จครบทั้งโครงการภายในไตรมาส 4 ปี 2567 โอนกรรมสิทธิ์พร้อมกันทั้งโครงการ เพื่อไม่ให้การก่อสร้างรบกวนการอยู่อาศัย
โดยเพชรลดาเชื่อมั่นว่า เมเจอร์ฯ จะมียอดจองครบภายในไตรมาส 4 ปีหน้า เนื่องจากทำเลพัฒนาการช่วงต้น ขณะนี้ไม่มีซัพพลายบ้านหรูระดับนี้เหลืออยู่
Positioning สำรวจพบว่า โครงการบ้านหรูในย่านพัฒนาการช่วงต้นที่เปิดขายในช่วงปี 2565-66 จะมีโครงการ “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32” พัฒนาโดย บมจ.สิงห์ เอสเตท ราคา 65-180 ล้านบาท มีเพียง 28 หลัง และโครงการ “บูก้าน (BuGaan) พัฒนาการ” พัฒนาโดย บมจ.แสนสิริ ราคา 65-115 ล้านบาท มีเพียง 17 หลัง
บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรีในย่านนี้ถือว่าเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ยกตัวอย่างโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส พัฒนาการ 32 ทางสิงห์ เอสเตท เคยให้ข้อมูลว่าโครงการเพิ่งเปิดตัวช่วงปลายปี 2565 แต่ใช้เวลาไม่กี่เดือน สามารถปิดการขายไปได้แล้ว 26 หลัง เหลือเพียง 2 หลังสุดท้าย (ข้อมูลเดือนมกราคม 2566)
เพชรลดาแห่งเมเจอร์ฯ เองมีข้อมูลของตลาดบ้านเดี่ยวกรุงเทพฯ มาชี้ให้เห็นเช่นกันว่า มีแนวโน้มเติบโตในกลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี โดยหากนับเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 70 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2566 มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้น 220% หากคิดตามจำนวนหลัง หรือเพิ่มขึ้น 63% หากคิดตามมูลค่า ทำให้ปีนี้บ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรีมีมูลค่าโครงการเปิดใหม่ร่วม 11,900 ล้านบาทแล้ว
แนวโน้มของตลาดที่หันมาจับเซ็กเมนต์บ้านเดี่ยวร้อยล้านกันมากขึ้นนั้น เกิดจากการมองหาพื้นที่ขายที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อเพียงพอและอัตราดอกเบี้ยไม่มีผลกระทบ ต่างจากกลุ่มบ้านในราคา 2-10 ล้านบาทที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง เพราะภาวะหนี้ครัวเรือนสูงและอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นทำให้จะมีปัญหาติดขัดเรื่องการขอสินเชื่อบ้าน
]]>บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (ESTAR) แต่งตั้งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ “ไพโรจน์ วัฒนวโรดม” มือเก๋าวงการอสังหาริมทรัพย์ที่เคยรับตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ในบริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บมจ.เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้
ไพโรจน์พักจากการทำงานในบริษัทจดทะเบียนไป 5 ปี ระหว่างนั้นมีการเปิดบริษัทที่ปรึกษาให้กับบริษัทอสังหาฯ ก่อนจะกลับเข้าวงการอีกครั้งที่อีสเทอร์น สตาร์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 กับภารกิจสำคัญสร้างความสม่ำเสมอในการรับรู้รายได้ของบริษัท และสร้างผลกำไรสุทธิ (net profit) ที่ดีขึ้นให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
หลังจากชำแหละพอร์ตและโครงสร้างการทำงานของอีสเทอร์น สตาร์ ทำให้เห็นจุดที่สามารถปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นไปตามเป้าได้ โดยไพโรจน์วางกลยุทธ์ระยะ 3 ปีไว้ดังนี้
ไพโรจน์อธิบายถึงการปรับเกลี่ยพอร์ตแนวราบกับแนวสูงให้ใกล้เคียงกัน เป็นเพราะแต่เดิมอีสเทอร์น สตาร์เน้นพัฒนาคอนโดมิเนียมเป็นหลัก ซึ่งธรรมชาติของการทำคอนโดฯ คือจะต้องรอจนกว่าตึกก่อสร้างเสร็จทั้งโครงการพร้อมโอนกรรมสิทธิ์จึงจะรับรู้รายได้เข้าสู่บริษัทได้ ทำให้บางช่วงที่ไม่มีตึกสร้างเสร็จ บริษัทจะไม่มีรายได้เข้ามาหรือมีน้อยมาก จนทำให้รายได้ของบริษัทไม่สม่ำเสมอ
จากปัญหานี้จึงต้องจัดสมดุลพอร์ต พัฒนาโครงการแนวราบให้มากขึ้นเพื่อเข้ามาอุดช่องว่าง ทำให้รายได้มีสม่ำเสมอทุกไตรมาส
ขณะที่การจัดการต้นทุนเป็นอีกประเด็นสำคัญ เมื่อจัดระบบระเบียบการทำงานภายในให้สั่งวัสดุรวมศูนย์แล้วจะทำให้เกิด economy of scale มากขึ้น
“เราใช้วิธีคล้ายกับที่บริษัทใหญ่ๆ ทำ แต่ทำให้คล่องตัวมากขึ้น” ไพโรจน์กล่าว “จากเดิมที่เคยแยกกันสั่งรายโครงการ สั่งมาเพื่อสร้างบ้านทีละ 5-8 หลังในราคาค้าปลีก เมื่อสั่งรวมกันจะทำให้ได้ต้นทุนราคาวัสดุ เช่น อิฐ ปูน ทราย เหล็ก ลดลงถึง 10-25% และยังล็อกราคาล่วงหน้าได้สูงสุด 2 ปี แก้ปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างผันผวน”
รายได้ของอีสเทอร์น สตาร์นั้นจะอยู่ในช่วงประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี และมีอัตรากำไรต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ไพโรจน์หวังว่าใน 3-5 ปีข้างหน้าเมื่อปรับโครงสร้างธุรกิจเสร็จแล้วน่าจะทำให้รายได้ของบริษัทขึ้นไปแตะ 3,000-5,000 ล้านบาทได้ และทำให้อัตรากำไรดีขึ้นใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอสังหาฯ
สำหรับโครงการในมือที่อีสเทอร์น สตาร์ยังอยู่ระหว่างขายมี 11 โครงการ ทั้งพอร์ตฝั่งกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และฝั่ง จ.ระยอง ดังนี้
จากโครงการที่มี ปีนี้อีสเทอร์ สตาร์จึงตั้งเป้าสร้างยอดขาย 3,100 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ 1,500 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 2566 จะยังไม่มีการเปิดโครงการเพิ่ม แต่จะเป็นช่วงเวลาการหาแลนด์แบงก์เพื่อทำตามกลยุทธ์ใหม่ โดยบริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไว้ 1,000 ล้านบาท
สำหรับปี 2567 ไพโรจน์กล่าวว่าขณะนี้มีแผนพัฒนาโครงการแล้ว 2 โครงการ ได้แก่
อย่างไรก็ตาม ปีหน้าน่าจะมีการเปิดโครงการแนวราบอย่างน้อย 3 แห่ง อีกแห่งหนึ่งกำลังหาซื้อที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ เพิ่มเติม ส่วนโครงการแนวสูงจะยัง ‘เบรก’ ไว้ก่อน
ไพโรจน์กล่าวว่า ตลาดใน จ.ระยอง ถือว่ามีศักยภาพสูงมาก เพราะคนทำงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมย้ายไปลงหลักปักฐานในจังหวัด ซื้อบ้านหลังแรกและพร้อมสร้างครอบครัวโดยไม่กลับเข้ากรุงเทพฯ และคนกลุ่มนี้ทำรายได้ได้สูงมากเฉลี่ย 70,000 – 300,000 บาทต่อเดือน ทำให้อัตราปฏิเสธสินเชื่อต่ำประมาณ 5-10% เท่านั้น เทียบกับการขายบ้านในกรุงเทพฯ ปัจจุบันอัตราปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 30% แล้ว การขยายตัวในระยองและจังหวัดอีอีซีจึงเป็นพื้นที่ที่บริษัทมุ่งไป
บริษัทยังมีแต้มต่อสำคัญคือ อีสเทอร์น สตาร์ มีที่ดินเก่าที่เก็บมานานกว่า 30 ปีรวม 6 แปลง 238 ไร่ อยู่รอบๆ สนามกอล์ฟอีสเทอร์นสตาร์ คันทรี คลับ ซึ่งทำเลอยู่ติดกับสนามบินอู่ตะเภา ปัจจุบันที่ดินเหล่านี้นำมาพัฒนาโครงการไปแล้ว 2 แปลง ยังเหลืออีก 4 แปลงที่พัฒนาได้ ด้วยต้นทุนเดิมของที่ดินจะทำให้บริษัททำราคาได้ดีกว่า
ส่วนแลนด์แบงก์อื่นที่บริษัทมีในกรุงเทพฯ–ปริมณฑล จะพิจารณาตามความเหมาะสม ยกตัวอย่าง แปลงเย็นอากาศซอย 2 พื้นที่ 3 ไร่ เคยจะพัฒนาเป็นคอนโดฯ แต่ถูกต่อต้านจากชุมชนในพื้นที่ ก็อาจจะปรับเปลี่ยนมาพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวหรูราคา 40-80 ล้านบาทแทน หรือแปลงแยกติวานนท์ พื้นที่ 7 ไร่ ขณะนี้ประกาศขายที่ดินเนื่องจากมองว่าซัพพลายในแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงยังสูงมาก แต่ถ้าอนาคตตลาดมีความพร้อมก็จะดึงมาขึ้นโครงการได้เช่นกัน
]]>“ณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง” กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจในช่วงหลังโควิด-19 พบว่า ความต้องการซื้อถือว่ามีสูง แต่ติดปัญหาคือลูกค้า “กู้บ้านไม่ผ่าน” ประมาณ 40% ของยอดขาย
ส่วนใหญ่เกิดจากติดแบล็กลิสต์เครดิตบูโร หรือมีหนี้สินส่วนอื่นค้างคา เช่น หนี้บัตรเครดิต สะท้อนภาพคนไทยอยากมีบ้านแต่ไม่พร้อมทางด้านการเงิน อีกส่วนหนึ่งเกิดจากอาชีพอิสระ เช่น ขายสินค้าออนไลน์ ยูทูปเบอร์ โอกาสถูกปฏิเสธให้กู้สินเชื่อจากธนาคารมีสูง
โดยกลุ่มราคาบ้านที่มีอัตรากู้ไม่ผ่านเกือบครึ่ง จะเป็นกลุ่มบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยเฉพาะทาวน์โฮมราคา 2-3 ล้านบาทเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสูงที่สุดที่จะกู้ไม่ผ่าน
ณัฏฐพรกล่าวว่า ปัญหาเหล่านี้พบตั้งแต่ปี 2565 ทำให้บริษัทเริ่มวางกลยุทธ์ใหม่ จากเดิมมักจะให้ลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 30 วันหลังวางเงินจอง ในรายที่พรีแอพพรูฟแล้วมีแนวโน้มจะกู้สินเชื่อไม่ผ่าน จะอนุโลมให้ยืดเวลารอโอนไปได้สูงสุดถึง 6 เดือน ในระหว่างนั้นจะช่วยให้คำแนะนำลูกค้าในการปิดหนี้อื่นเพื่อเตรียมพร้อมยื่นกู้
“สมมติขายบ้าน 10 หลัง มีคนกู้ผ่าน 5 หลัง ถ้าเราไม่สนใจคนที่กู้ไม่ผ่านแล้วไปหายอดขายใหม่ทดแทน เราก็ต้องลงงบการตลาดอีกมากเพื่อดึงคนเข้ามาชมโครงการ เข้ามาแล้วก็อาจจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบโครงการของเรา สู้เราดูแลคนที่ตัดสินใจเลือกเราแล้ว รอเขาไปอีก 3-6 เดือนจนกว่าเขาโอนได้จะดีกว่า” ณัฏฐพรกล่าว
นอกจากการยืดเวลาโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ณัฏฐพรยังกล่าวถึงแนวคิดของเรียลแอสเสทที่จะตั้ง “กองทุน” ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่กู้ธนาคารไม่ผ่านด้วย โดยเปลี่ยนให้ลูกค้าทำสัญญาเช่าซื้อกับกองทุนแทน เพื่อเช่าอยู่ไปก่อนได้ระหว่างปลดหนี้ส่วนอื่น แล้วค่อยเปลี่ยนไปกู้สินเชื่อบ้านตามปกติในภายหลัง
แนวทางของเรียลแอสเสท ถือว่าคล้ายคลึงกับธุรกิจ “เงินสดใจดี” ในเครือ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งเป็นธุรกิจบริการสินเชื่อเช่าซื้อให้กับลูกค้าที่ยังกู้ธนาคารไม่ผ่าน สามารถเข้าอยู่และเริ่มผ่อนชำระกับทางเงินสดใจดีไปก่อน จนกว่าจะลดเงินต้นลงมาอยู่ในระดับที่ยื่นกู้ธนาคารได้ตามปกติ
ปัจจุบัน ธุรกิจเงินสดใจดีของเสนาฯ เริ่มต้นบริการจริงแล้วใน 12 โครงการแบรนด์ “เสนาคิทท์” ของบริษัทเอง เช่น เสนาคิทท์ พหลโยธิน-นวนคร, เสนาคิทท์ เวสต์เกต-บางบัวทอง 2, เสนาคิทท์ รังสิต-คลอง 4 เป็นต้น โครงการเหล่านี้เป็นคอนโดฯ ราคา “ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อยูนิต” ซึ่งที่ผ่านมาเสนาฯ เผชิญปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่านสูงถึง 50% จึงทำให้เกิดธุรกิจเงินสดใจดีขึ้น
ด้านแผนธุรกิจของเรียลแอสเสทในปี 2566 จะมีการเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ ได้แก่
1.วิรัณยา บางนา-สุวรรณภูมิ โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ราคาเริ่ม 6.09 ล้านบาท
2.วิวัลดี บางนา (ทำเลซอยวัดคลองปลัดเปรียง) โครงการบ้านเดี่ยวระดับบน ราคาเริ่มประมาณ 12 ล้านบาท
3.วิรัณยา รังสิต-วงแหวน (ทำเลลำลูกกาคลอง 5) โครงการบ้านเดี่ยว ราคาเริ่มประมาณ 3 ล้านกว่าบาท
4.เดอะ สเตจ เมดบายมี รัชดา-ห้วยขวาง (ทำเลใกล้กับคอนโดฯ เดอะ สเตจ มายด์สเคป รัชดา-ห้วยขวาง) เป็นคอนโดฯ ไฮไรส์ จำนวน 450 ยูนิต ราคาเริ่ม 2.89 ล้านบาท เปิดแกรนด์โอเพนนิ่งวันที่ 27-28 พ.ค. นี้
5.อาร์โล ลาซาล 17 คอนโดฯ ตึกเตี้ยจำนวน 580 ยูนิต คอนโดฯ นี้เป็นโครงการที่เทกโอเวอร์จากเจ้าของเดิมคือ บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ และเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่จะยังใช้แบบตึกและเลย์เอาท์เดิมเพื่อก่อสร้างได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จะเปิดจำหน่ายใหม่ทั้งโครงการ คาดว่าจะปรับราคาขึ้นเป็น 75,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร (*ลูกค้าเดิมสามารถขอคืนเงินดาวน์ได้จากออลล์ อินสไปร์ฯ)
6.เอ สเปซ เมกา เฟส 2 เป็นคอนโดฯ ไฮไรส์ที่เทกโอเวอร์จาก บมจ.อารียา พรอพเพอร์ตี้ เมื่อปี 2564 แต่กรณีนี้เทกโอเวอร์มาพร้อมยอดขายทั้งหมดที่มี ซึ่งทางอารียาฯ ขายไปแล้ว 70-80% ของโครงการ ปลายปีนี้ เรียลแอสเสทจะเริ่มทำการตลาดขายส่วนที่เหลือ 20-30% ในช่วงที่ตึกก่อสร้างเสร็จ
ทั้งหมดนี้ตั้งเป้ายอดขายปี 2566 ไว้ที่ 3,300 ล้านบาท
ณัฏฐพรกล่าวว่า ไฮไลต์โครงการแนวราบของปีนี้คือการเปิดโครงการ วิรัณยา บางนา-สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องในอาณาจักรของเรียลแอสเสทบนถนนกิ่งแก้ว
ที่ดินของเรียลแอสเสทในซอยกิ่งแก้ว 29 มีอยู่ 180 ไร่ เริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2562 เริ่มจากโครงการทาวน์โฮม “สตอรี่ส์ บางนา-สุวรรณภูมิ” ราคาเริ่ม 2 ล้านบาท ต่อด้วยโครงการ “เซนส์ บางนา-สุวรรณภูมิ” ทาวน์โฮมและบ้านแฝด ราคาเริ่ม 4.69 ล้านบาท ก่อนจะเผชิญโควิด-19 ทำให้ชะลอการพัฒนาต่อ
จนกระทั่งปีนี้ กลับมาเปิดโครงการ “วิรัณยา บางนา-สุวรรณภูมิ” ในอาณาจักรที่ดินผืนต่อเนื่องกัน เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 207 ยูนิต ราคาเริ่ม 6.09 ล้านบาท เติมพอร์ตให้ครบทุกเซกเมนต์ มีตั้งแต่ทาวน์โฮมราคา 2 ล้านบาท จนถึงบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 8 ล้านบาท
สำหรับทำเลนี้ มองว่าเป็นจุดศูนย์รวมของนักธุรกิจและคนทำงานย่านกรุงเทพฯ ตะวันออก โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานในสายธุรกิจการบินและโลจิสติกส์ เนื่องจากโครงการอยู่ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 5 กม.เท่านั้น
นอกจากคนไทยแล้ว เรียลแอสเสทยังพบว่า “ชาวจีน” มีความสนใจซื้อบ้านในไทยมากขึ้น เพราะต้องการจะย้ายถิ่นฐานถาวรทั้งครอบครัว และย่านบางนา-ตราดตอบโจทย์ทั้งการเดินทางไปทำงานโรงงาน และมีโรงเรียนนานาชาติรองรับหลายแห่ง
ปัจจุบัน 3 โครงการแรกใช้ที่ดินพัฒนาไปแล้ว 80 ไร่ ณัฏฐพรระบุว่า ที่ดินกิ่งแก้วยังมีเหลืออีก 100 ไร่ สามารถพัฒนาได้อีก 2-3 โครงการที่น่าจะเปิดตัวครบภายใน 2 ปี และเป็นไปได้ที่จะมีการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับบนราคาเกิน 10 ล้านบาทในทำเลนี้
]]>“วิทการ จันทวิมล” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2565 และแผนธุรกิจปี 2566 ของบริษัทที่กำลังเป็นขาขึ้นหลังผ่านช่วงโควิด-19 มาได้
โดยปี 2565 บริษัทเปิดตัวไป 51 โครงการ มูลค่ารวม 63,600 ล้านบาท ทำยอดขาย 50,415 ล้านบาท และคาดว่าจะปิดยอดโอนที่ 48,000 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดและสูงกว่าช่วงปี 2562 (ก่อนโควิด-19)
สำหรับ ปี 2566 เอพีจะทำสถิติเติบโตต่อเนื่องในทุกด้าน โดยวางเป้าหมาย ดังนี้
แผนการเปิดตัวโครงการ 58 โครงการ แบ่งตามโปรดักส์ต่างๆ ได้แก่
การขยายตัวของเอพีนั้นนอกจากจะจับตลาดเดิมที่พัฒนาอยู่แล้ว ยังมีการขยายไปจับตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีก่อนด้วย แบรนด์ใหม่ที่เปิดตัวเมื่อปีก่อน เช่น “พลีโน่ทาวน์” เป็นโครงการมิกซ์โปรดักส์แนวราบในกลุ่มราคา 1.7-3.6 ล้านบาท หรือแบรนด์ “โมเดน” บ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาท ถือเป็นการลงมาเล่นในตลาดกลางล่างซึ่งเอพีไม่ค่อยได้พัฒนาในระยะหลัง
วิทการกล่าวว่า ปี 2566 จะยังคงเห็นภาพการขยายตัวของเอพีในตลาดใหม่อีก เช่น บ้านเดี่ยวในกลุ่มลักชัวรีจนถึงซูเปอร์ลักชัวรี จะบุกด้วยแบรนด์ “บ้านกลางกรุง” เป็นบ้านเดี่ยว 4-5 ชั้น ทำเลในเมือง ราคา 30-50 ล้านบาท และ “เดอะ พาลาซโซ” บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ราคา 70-100 ล้านบาท
รวมถึงมีการปรับโปรดักส์แบรนด์ “THE CITY” ซึ่งปกติเป็นบ้านเดี่ยวที่ดินเฉลี่ย 54 ตร.ว. มาเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ดินขนาด 100 ตร.ว. ปั้นราคาขาย 25-40 ล้านบาท
ถือเป็นการขยับขึ้นไปในตลาดหรูยิ่งขึ้น เพราะปกติเอพีเคยพัฒนาบ้านแพงที่สุดคือราคา 50 ล้านบาท และส่วนใหญ่บ้านหรูเอพีจะมีราคา 20 ล้านบาทบวกลบ ปีนี้จึงเป็นปีที่เอพีจะเข้าตลาดหรูชัดเจนมากขึ้น
“ตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มที่เราถนัดจริงๆ คือราคา 7-20 ล้านบาท แต่เมื่อกลุ่มลักชัวรีราคามากกว่า 20 ล้านบาทขายดี ตลาดนี้ปีก่อนมียอดขายรวมทะลุ 2 หมื่นล้านบาท และผู้เล่นรายใหญ่มีเพียง 2-3 ราย เราจึงต้องบุกเข้าตลาดนี้ให้มากขึ้น โดยเราเริ่มชิมลางไปบ้างแล้วเมื่อปีก่อนและลูกค้าให้การตอบรับดี ทำให้มีความมั่นใจที่จะไปต่อ” รัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว กล่าว
อีกกลุ่มช่องว่างที่เอพีจะยิ่งรุกหนักคือ “บ้านแฝด” ซึ่งจะรุกด้วยสองแบรนด์ คือ “แกรนด์ พลีโน่” บ้านแฝด 2 ชั้น ราคา 6-8 ล้านบาท และ “บ้านกลางเมือง THE EDITION” บ้านแฝด 3 ชั้น ราคา 8-12 ล้านบาท เป็นกลุ่มตลาดที่ผู้เล่นมีน้อยราย ขณะที่เอพีเห็นว่ามีผู้บริโภครออยู่ เป็นลูกค้าที่ต้องการขยับขยายแต่งบอาจจะมีไม่ถึงบ้านเดี่ยว บ้านแฝดจึงตอบโจทย์มากกว่า
ด้านตลาดคอนโดฯ ที่ฟุบไปในช่วงโควิด-19 ตัวเลขจากเอพีระบุยอดพรีเซลปี 2565 เฉพาะคอนโดฯ พุ่งขึ้นมาที่ 11,440 ล้านบาท เทียบกับปี 2562 (ก่อนโควิด-19) เคยมียอดขายคอนโดฯ 14,438 ล้านบาท นับว่าปีก่อนทำยอดได้ใกล้เคียงฐานตลาดก่อนโรคระบาด สะท้อนการกลับมาของตลาดคอนโดฯ
ปี 2566 เอพีจึงมีแผนจะเปิดตัวคอนโดฯ ใหม่อีก 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,800 ล้านบาท ดังนี้
1.ไลฟ์ พหล-ลาดพร้าว (*) มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท จำนวน 598 ยูนิต เปิดพรีเซลเดือนมิถุนายนนี้ โดยเป็นคอนโดฯ เริ่มก่อสร้างก่อนขาย ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้า 45%
2.ริธึ่ม ทำเลตรงข้ามไอคอนสยาม (*) มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท จำนวน 584 ยูนิต
3.แอสไปร์ วิภา-วิคตอรี มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท จำนวน 593 ยูนิต
4.แอสไปร์ เกษตร-พหล 49 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท จำนวน 622 ยูนิต
(*) = JV กับมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป จากญี่ปุ่น
วิทการยังกล่าวถึงกลยุทธ์สำคัญในระยะยาวของบริษัทคือการ “Hatch the New Business” ผ่านการส่งเสริมนวัตกรในบริษัท สร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ในลักษณะ “อินเฮาส์ สตาร์ทอัพ” สร้างไอเดีย ทดลองทำโปรโตไทป์ เพื่อหาธุรกิจใหม่ที่ไปต่อได้
โดยคอนเซปต์การหาธุรกิจใหม่ของเอพีจะต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิมนั่นคือ “การอยู่อาศัย” เพื่อให้เป็นการต่อยอดซึ่งกันและกัน
เมื่อปี 2565 บริษัทมีการเปิดตัวธุรกิจใหม่อย่างแรกออกมาคือ “FitFriend” เป็นแพลตฟอร์มรวบรวมและจองเทรนเนอร์เดลิเวอรีไปสอนส่วนตัวให้ที่บ้าน ซึ่งตอบโจทย์ในช่วงโควิด-19 ที่คนไม่นิยมเข้าฟิตเนส และทำให้แพลตฟอร์มนี้มีเครือข่ายเทรนเนอร์มากกว่า 100 คน ทำยอดขายเฉลี่ย 8 แสนบาทต่อเดือน เป้าหมายปีนี้ต้องการผลักดันยอดขายไปถึง 1-1.5 ล้านบาทต่อเดือน และจะเริ่มทำกำไรสะสมได้ทันทีเพราะต้นทุนไม่สูง รวมถึงจะมีการผลักดันธุรกิจอื่นๆ ออกมาอีก
“คุณอนุพงษ์ (อัศวโภคิน ซีอีโอของเอพี) ให้แนวทางไว้ว่า อยากให้พอร์ตธุรกิจใหม่ของเอพีเติบโตจนสามารถบาลานซ์กับธุรกิจอสังหาฯ ดั้งเดิมได้ อนาคตระยะยาวอยากให้เป็นครึ่งหนึ่งของพอร์ต” วิทการกล่าว “ส่วนเป้าหมายระยะกลาง 5 ปีจากนี้ ธุรกิจใหม่น่าจะทำรายได้ได้ 300-500 ล้านบาท”
เป็นแนวทางธุรกิจที่น่าสนใจ ในขณะที่อสังหาฯ รายอื่นนิยมแตกไลน์ไปในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการหาที่ดินและการก่อสร้าง เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม คลังสินค้า ฯลฯ แต่เอพีมองโอกาสในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิต และต้องใช้เวลาในการสร้างฐานเพื่อทำกำไร
]]>