ลงทุนอาเซียน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 04 Feb 2022 01:30:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กรุงศรี วางเกมปั้นรายได้อาเซียน 10% ภายใน 2 ปี ทุ่มลงทุน ‘ดิจิทัล’ หนุนสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ https://positioningmag.com/1372777 Thu, 03 Feb 2022 14:31:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1372777 กรุงศรี วางเเผนใหญ่ขยายตลาดอาเซียน ทุ่ม 8 พันล้านพัฒนาดิจิทัล หนุนสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ มองปีนี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว เป้าจีดีพี 3.7%

โดยแผนการดำเนินงานในปี 2565 ซึ่งเป็นแผนระยะกลาง 3 ปี (ตั้งแต่ปี 2564-66) ของกรุงศรีจะมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ “Go ASEAN with Krungsri” จับมือพันธมิตรเพื่อพัฒนาด้านเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมเพื่อลูกค้า

เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ในวิกฤตโควิดเป็นช่วงที่ท้าทายในทุกธุรกิจ เมื่อย้อนกลับในปีแรกของแผนงานธุรกิจระยะกลาง ถือกรุงศรีประสบความสำเร็จอย่างดี ทั้งในเเง่การช่วยเหลือลูกค้าเชิงรุกด้วยมาตรการต่างๆ การทำผลกำไรเเละการดำเนินงาน รวมไปถึงการเป็นสถาบันการเงินไทยที่มีเครือข่ายในอาเซียนมากที่สุด

ทุ่ม 8 พันล้านเสริมดิจิทัล ปั้นรายได้อาเซียนเป็น 10% ใน 2 ปี

ล่าสุดกรุงศรีได้เข้าไปทำธุรกิจในเวียดนามซึ่งถือเป็นประเทศที่ 5 ในอาเซียนที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ในระยะถัดไปตั้งเป้าว่าจะขยายตลาดให้ครอบคลุมอย่างน้อย 8 ประเทศในภูมิภาค

ในส่วนของการพัฒนาด้านดิจิทัลนั้น กรุงศรีตั้งเป้าลงทุนเพิ่มในปีนี้ราว 7-8 พันล้านบาท เชื่อมโยงกับพันธมิตรทั่วอาเซียน พร้อมสนับสนุนสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ เเละบริษัทที่ยังไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงให้ความสำคัญกับ Digital Asset หลังได้เข้าลงทุนในเเพลตฟอร์มเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง ‘Zipmex’ ซึ่งจะมีการขยายตลาดไปในอาเซียนมากขึ้น

นอกจากนี้ จะมีการขยาย API เชื่อมโยงกับธนาคารพันธมิตรในอาเซียน สร้าง ‘AI Tech lab’ ร่วมกับบริษัทเเม่อย่าง MUFG เเละซูเปอร์เเอปฯ อย่าง Grab เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด ควบคู่กับการเร่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดใหม่ ๆ ภายนอกประเทศ 

โดยที่ธนาคารตั้งเป้าในช่วง 2 ปี สัดส่วนกำไรจากเครือข่ายของธนาคารในอาเซียน เพิ่มเป็น 10% ในอีก 2 ปีข้างหน้า จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 6% 

รุกธุรกิจโอน-ชำระเงินข้ามประเทศ

ไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรุงศรีได้ให้บริการลูกค้าไปแล้วมากกว่า 500,000 บัญชี ในกัมพูชา สปป.ลาว และฟิลิปปินส์ รวมมูลค่าสภาพคล่องแล้วกว่า 64,000 ล้านบาท

สำหรับลูกค้าคนไทย จะยังคงเดินหน้าขยายโซลูชัน เพิ่มมูลค่าในการทำการค้าระหว่างประเทศ (cross-border value chain solutions) ในอุตสาหกรรมต่างๆ และบริการให้คำปรึกษาเพื่อช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ลูกค้าธุรกิจไปเติบโตทั่วทั้งอาเซียน และอีกมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลกผ่านเครือข่ายของ MUFG

โดยในปีนี้จะมุ่งสร้างพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจให้หลากหลาย ทั้งธุรกิจด้านพลังงาน โทรคมนาคม ประกัน อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจรายย่อยและเชิงพาณิชย์

เรากำลังขยายบริการธุรกรรมการโอนเงินระหว่างประเทศ สำหรับลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจให้ครอบคลุมมากขึ้น จากเดิมที่มีการเชื่อมต่อบริการ 3 ประเทศในปีที่ผ่านมา ให้เป็น 8 ประเทศภายในปีนี้

ทั้งนี้ มียอดธุรกรรมการชำระเงินและการโอนระหว่างประเทศในอาเซียนผ่านกรุงศรีแล้วมากกว่า 500,000 ครั้ง มูลค่ารวมมากกว่า 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี

สำหรับการจัดตั้ง Virtual Bank หรือธนาคารพาณิชย์รูปแบบใหม่ที่ดำเนินธุรกิจบนช่องทางดิจิทัล ผู้บริหารกรุงศรียอมรับว่าเป็นเทรนด์เเห่งอนาคต ซึ่งธนาคารกำลังอยู่ระหว่างการศึกษา โดยได้เริ่มเเนวทางนี้เเล้วผ่านการเปิดตัวเเอปพลิเคชันออมเงินอย่าง ‘Kept’ ซึ่งมีเสียงตอบรับจากผู้ใช้ที่ดีมาก เเละหากมีความเหมาะสมก็จะนำมาต่อยอดเเละพัฒนาต่อไป

-เทรนด์ Virtual Card มาเเรง กรุงศรี ส่งบัตรเครดิต Krungsri NOW บัตรดิจิทัล ‘ใบแรก’ จากเครือบัตรเครดิต กรุงศรี ออกมาจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัย 21-35 ปี รายได้เฉลี่ยตั้งแต่ 1.5-7 หมื่นบาทต่อเดือน เเละนิยมการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์โดยเฉพาะ

มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว เป้าจีดีพี 3.7%

ในปี 2565 กรุงศรี ตั้งเป้าการเติบโตเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 3-5% โดยมีสินเชื่อรายย่อยเติบโต 3-4% สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อยู่ที่ 4-5% และธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ที่ 3-4% รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยทรงตัวจากปีก่อน และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.1-3.3%

ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยต่อรายได้รวมคาดอยู่ในระดับกลางหรือราว 40% เเละมีสัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 150-160 bps อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ราว 2.6% สำหรับอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 150% ภายใต้สมมติฐานที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.7% ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายทางการเงินดังกล่าวเป็นการคาดการณ์ของธนาคารเบื้องต้น ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัว หลังจากการแพร่ระบาดโควิดเริ่มคลี่คลาย การกระจายวัคซีนทั่วถึง กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศยังดำเนินได้ตามปกติ รวมไปถึงปัจจัยด้านการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะทำให้ภาคการส่งออกไทยขยายตัวได้ดีตามไปด้วย ขณะที่ภาคท่องเที่ยวยังไม่กลับมาได้ 100% เเต่จะมีการฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

ปีนี้เราคาดว่าจีดีพีน่าจะขยายตัวได้ระดับ 3.7% จากปีก่อนที่ขยายตัวเพียง 1.2%”

]]>
1372777
ดีล 1.2 เเสนล้านกับทิศทางธุรกิจรายย่อย ‘ซิตี้กรุ๊ป’ ในมือ UOB ต่อยอดลูกค้า ‘เครดิตดี’ https://positioningmag.com/1370465 Fri, 14 Jan 2022 11:54:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370465 ดีลใหญ่วงการธนาคารในตลาดอาเซียน เมื่อยูโอบี (UOB) เร่งสปีดโค้งสุดท้ายคว้าดีลซื้อธุรกิจรายย่อยซิตี้กรุ๊ป’ (Citigroup) ในประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซียเเละเวียดนาม ด้วยมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท

ย้อนไปเมื่อช่วงต้นปี 2564 “ซิตี้กรุ๊ปประกาศขายกิจการลูกค้ารายย่อยใน 13 ประเทศทวีปเอเชียและยุโรปตะวันออก รวมถึงประเทศไทย จากแรงกดดันของนักลงทุนที่ต้องการให้ธนาคารลดต้นทุน โดยธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อเงินฝาก จะถูกขายออกทั้งหมด ซึ่งทางซิตี้จะหันไปมุ่งเน้นธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเเละธุรกิจลูกค้าสถาบันเเทน

จากนั้นมาก็มีกระเเสข่าวต่างๆ เกี่ยวกับการเเข่งขันเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของไทยนั้นก็มีตัวเต็งที่มาในช่วงเเรกๆ อย่างธนาคารกรุงเทพและธนาคารกรุงศรีฯ เเต่ในท้ายที่สุดธนาคารยูโอบีก็ชนะดีลนี้ไปได้

การตัดสินใจเข้าซื้อครั้งนี้ หลักๆ มาจากตลาดในประเทศไทยเเละเป็นราคาที่เหมาะสมผู้บริหารกลุ่มธนาคารยูโอบีกล่าว โดยขอให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะมีการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ไม่บกพร่องเเละไม่มีอะไรหยุดชะงัก

ทุ่มซื้อ 1.2 เเสนล้าน 

กลุ่มธนาคารยูโอบี ได้ทำข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งรวมถึงสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและมีหลักประกัน ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจเงินฝากรายย่อย (ธุรกิจลูกค้ารายย่อย) ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม (การเสนอซื้อกิจการ) และรวมไปถึงพนักงานธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป

การพิจารณาข้อเสนอเงินสดสำหรับการเสนอซื้อกิจการนี้ จะคำนวณจากค่าพรีเมียมรวม 915 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 2.25 หมื่นล้านบาท) บวกกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป 4,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 9.86 หมื่นล้านบาท) ทำให้เกิดมูลค่าในซื้อกิจการครั้งนี้ อยู่ที่เกือบ 5,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือกว่า 1.2 แสนล้านบาท 

คาดว่าจะลดอัตราส่วนของเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Common Equity Tier 1 หรือ CET1) ของธนาคารลง 0.7% เป็น 12.8% ตามสถานะเงินทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2021 ผลกระทบต่ออัตราส่วน CET1 คาดว่าจะมีไม่มากและจะยังอยู่ภายในข้อกำหนดด้านกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแล

นับเป็นทิศทางการขยายขอบเขตธุรกิจครั้งใหญ่ของยูโอบี เพื่อเจาะฐานลูกค้าผู้มีกำลังซื้อในอาเซียน และเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การเติบโตในกลุ่มลูกค้าส่วนบุคคล เพิ่มเป็น 2 เท่าได้ภายใน 5 ปี

เพิ่มฐานลูกค้าอาเซียนเป็น 2 เท่า 

ปัจจุบันธุรกิจลูกค้ารายย่อยหรือ Retail Banking ของซิตี้กรุ๊ป มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 9.9 หมื่นล้านบาท) และฐานลูกค้าราว 2.4 ล้านราย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2021 และมีรายได้ประมาณ 500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564

ส่วนธุรกิจ Retail Banking ของ UOB ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีฐานลูกค้าจำนวน 2.89 ล้านราย ดังนั้น เมื่อเข้าทำการซื้อกิจการรายย่อยของซิตี้กรุ๊ปแล้ว จะทำให้ฐานลูกค้ายูโอบีเพิ่มเป็น 5.29 ล้านราย

โดยเเบ่งเป็นในไทยราว 2.4 ล้านราย มาเลเซียราว 1.5 ล้านราย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลูกค้ารวม 1.2 ล้านราย เเละเวียดนามอีกเกือบ 2 เเสนราย ซึ่งในเวียดนามส่วนใหญ่จะเป็นฐานลูกค้าของซิตี้ ทำให้ยูโอบีสามารถเจาะตลาดที่กำลังเติบโตสูงได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการซื้อธุรกิจครั้งนี้

หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกรรมนี้ในครั้งเดียว การเสนอซื้อกิจการนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของธนาคาร และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของธนาคารยูโอบีได้ทันที

ยูโอบีคาดว่าส่วน ROE จะเพิ่มขึ้นเป็น 13% ในปี 2566 จากปีนี้ที่อยู่เฉลี่ยราว 10% เเละประเมินว่ารายได้จากการขยายกิจการครั้งนี้น่าจะเพิ่มขึ้นราว 1.4 เท่า ซึ่งจะมีรายได้ชัดเจนขึ้นในช่วงปี 2567-2569 

คาดเเล้วเสร็จ กลางปี 65 ถึงต้นปี 67

การเข้าซื้อกิจการในแต่ละประเทศ จะเสร็จสมบูรณ์เมื่อได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารตามเงื่อนไขของแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จระหว่างกลางปี 2565 ถึงต้นปี 2567 ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าและผลของกระบวนการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร

ภายในครึ่งแรกของปี 2565 ธนาคารจะเข้าไปดำเนินการควบรวมกิจการในส่วนของประเทศไทยและมาเลเซียก่อน จากนั้นในช่วงครึ่งหลังของปี จะเข้าไปดำเนินการในส่วนของอินโดนีเซีย และเวียดนาม

โดยในไทยเเละมาเลเซีย คาดว่าจะควบรวมต่างๆ ทั้งด้านระบบเเละพนักงานเเล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566  อินโดนีเซียในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 เเละเวียดนามในช่วงไตรมาส 1 ปี 2667”

ในระหว่างนี้ จะยังคงใช้ชื่อ Citi ไปก่อน เเละจะมีการเปลี่ยนให้ลูกค้ามาอยู่ภายใต้ยูโอบีทั้งหมดในช่วงปลายปี 2565 

ตลาดไทยหอมหวาน ลูกค้าเครดิตดี 

วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี (UOB) กล่าวว่า ลูกค้ารายย่อยในไทย เป็นพอร์ตที่มีคุณภาพ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับดีเเละจัดการได้ เเละลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มมีกำลังซื้อ จึงมองว่าจะเอื้อต่อการเติบโตของยูโอบีได้

การตัดสินใจเข้าซื้อครั้งนี้ หลักๆ มาจากตลาดในประเทศไทย

ประเมินว่า ยูโอบีจะมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจรายย่อยของไทย อยู่ที่อันดับ 6 ขยับขึ้นมาจากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 7 ขณะที่ธุรกิจบัตรเครดิต ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 จากอันดับ 8 และมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น เป็น 2.4 ล้านราย จากปัจจุบันที่ 1.3 ล้านราย

ผู้บริหารยูโอบี มองว่า การซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปใน 4 ประเทศ นับเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม เเละเป็นการเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสมเพื่อขยายฐานลูกค้าได้ถึงสองเท่า เพิ่มความเเข็งเเกร่งด้านพันธมิตร เเละการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน

เรามุ่งหวังที่จะโอนย้ายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่มีคุณภาพของซิตี้กรุ๊ป และเตรียมต้อนรับทีมงาน สร้างคุณค่าให้กับฐานลูกค้า พนักงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ของเราที่ขยายใหญ่ขึ้น

พร้อมยืนยันว่าพนักงานกว่า 5,000 รายในธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ป จากทั้ง 4 ประเทศ จะยังได้ทำงานเช่นเดิม หลังกระบวนการเข้าซื้อกิจการเสร็จสิ้น โดยไม่มีแผนปลดพนักงานเพราะถือเป็นทีมที่มีคุณภาพ

เน้นดิจิทัล Cross sale ต่อยอดผลิตภัณฑ์ใหม่ 

สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจรายย่อยของธนาคารยูโอบี จะมุ่งเน้นไปที่การเจาะกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งกำลังซื้อสูง ที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เป็นจุดเด่นของซิตี้กรุ๊ปจะยังมีการสานต่อเเละขยายความร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้น ฟีเจอร์ไหนที่ลูกค้าสนใจ ก็จะมีการสื่อสารกับลูกค้าทันที พร้อมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย Cross sale ระหว่าง 2 ธนาคารเพื่อพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์อื่นต่อไป

นอกจากนี้ จะมุ่งการเข้าหากลุ่มคนรุ่นใหม่ ผ่าน UOB TMRW แพลตฟอร์มดิจิทัลของธนาคาร และให้บริการด้านการเงินผ่านช่องทางที่หลากหลาย (Omni-channel) เเละใช้ AI มาช่วยพัฒนาธุรกิจเเละบริการลูกค้าซึ่งความท้าทายของการโอนย้ายธุรกิจครั้งนี้ก็คือการรวมระบบเน็ตเวิร์กให้มาใช้เเพลตฟอร์มเดียวกัน

การเสนอซื้อกิจการนี้จะขยายเครือข่ายพันธมิตรของยูโอบี และเพิ่มขนาดธุรกิจลูกค้ารายย่อยในทั้ง 4 ประเทศขึ้นเป็นสองเท่า เร่งให้บรรลุเป้าขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคเร็วขึ้นถึง 5 ปี

ด้าน ทีบอร์ พานดิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Citi ประเทศไทย เผยว่า ธุรกรรมนี้เป็นผลดีต่อลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และองค์กรของเรา Citi มุ่งมั่นที่จะทำให้ธุรกรรมนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการให้บริการแก่ลูกค้าธนาคารกลุ่มลูกค้าบุคคลและลูกค้ากลุ่มบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ของเรา

ต้องติดตามต่อไปว่า Retail Banking ซิตี้โฉมใหม่ภายใต้บ้านยูโอบีจะเป็นไปในทิศทางใด

]]>
1370465
‘เลโก้’ ทุ่ม 3 หมื่นล้าน เลือกเปิดโรงงานแห่งใหม่ใน ‘เวียดนาม’ รับตลาดเอเชียโตเร็ว https://positioningmag.com/1366209 Thu, 09 Dec 2021 08:38:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366209 หลังตระเวนหาทำเลในหลายประเทศเเถบอาเซียนมานาน 18 เดือน ในที่สุด ‘เลโก้’ (Lego) เเบรนด์ของเล่นเด็กเจ้าใหญ่จากเดนมาร์ก ก็ตัดสินใจจะสร้างโรงงานเเห่งใหม่ที่ ‘เวียดนาม’ เพื่อรองรับตลาตเติบโตขึ้นอย่างมากจากความนิยมตัวต่อพลาสติกสีสดใสในหมู่เด็กๆ ทั่วเอเชีย พร้อมกับการขยายตัวของผู้บริโภคชนชั้นกลาง

โดยเลโก้ ประกาศจะทุ่มลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.34 หมื่นล้านบาท) เพื่อสร้างโรงงานเเห่งใหม่ในเวียดนาม ซึ่งจะเป็นโรงงานแห่งที่ 2 ในเอเชีย หลังเปิดโรงงานแห่งเเรกในประเทศจีนไปเมื่อปี 2016 (ในยุโรป 3 แห่ง และเม็กซิโกอีก 1 แห่ง) โดยเลโก้มีอัตราการเติบโตของธุรกิจในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น ‘ดับเบิล-ดิจิต’ มาตั้งเเต่ปี 2019

Carsten Rasmussen ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของเลโก้ บอกกับสำนักข่าว Reuters ว่า
อุปสงค์ในตลาดตอนนี้ใกล้จะมากกว่าอุปทานของโรงงานในจีนเเล้ว ในช่วงระยะกลางถึงระยะยาว

“การเติบโตในจีนและเอเชียนั้นยอดเยี่ยมมาก เเละเราก็ต้องการเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น”

ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมการเติบโตนี้ คือ การขยายตัวของกลุ่ม ‘ชนชั้นกลาง’ ที่มีกำลังซื้อมากขึ้น เเละอัตราการเกิดของภูมิภาคนี้ที่ยังถือว่าสูงกว่าตลาดยุโรปและอเมริกาเหนือที่เติบโตเต็มที่แล้ว

ภาพจำลองโรงงานเเห่งใหม่ในเวียดนาม (Photo : www.lego.com)

โดยโรงงานแห่งใหม่เวียดนาม จะเริ่มก่อสร้างในช่วงครึ่งหลังของปี 2022 ก่อนจะเดินสายการผลิตในปี 2024
เเละจะมีการขยายกำลังผลิตต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการจากทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย ยกเว้นจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เลโก้คาดว่าในระยะเวลา 15 ปีข้างหน้า จะสร้างตำแหน่งงานใหม่ได้กว่า 4 พันตำแหน่ง

Financial Times ระบุว่า เลโก้ใช้เวลากว่า 18 เดือน ในการ ‘หาทำเล’ เปิดโรงงานใหม่ในหลายประเทศโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะตัดสินใจเลือกที่เวียดนาม ซึ่งป็นดีลที่ดีมาก อีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญในการผลิตและเปิดกว้างด้านความยั่งยืน ตั้งอยู่ใกล้กับตลาดสำคัญที่จะช่วยให้การขนส่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว

โรงงานในเวียดนามเเห่งนี้ จะเป็นโรงงาน Carbon Neutral แห่งแรกเลโก้ โดยวางแผนการใช้พลังงานจากพลังงานแสงอาทิตย์จากแผงบนหลังคาโรงงานและฟาร์มใกล้เคียง

เลโก้ เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่ได้อานิสงส์ ‘เป็นบวก’ ในช่วงในช่วงวิกฤตโควิด-19 เเละการมีเติบโตต่อเนื่อง
เมื่อเด็กๆ เเละผู้ปกครองต้องอยู่บ้านกันมากขึ้น โดยช่วงต้นปีนี้เลโก้ทำรายได้เติบโตถึง 46% ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่
เเละเป็นผู้ผลิตของเล่นที่มียอดขายและผลกำไรสูงสุดในขณะนี้ด้วย

 

ที่มา : Reuters , Financial Times , LEGO 

]]>
1366209
อินโดนีเซีย เตรียมเก็บภาษี ‘คริปโตเคอร์เรนซี’ หวังโกยรายได้เข้ารัฐ https://positioningmag.com/1331660 Wed, 12 May 2021 04:37:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1331660 อินโดนีเซีย กำลังวางเเผนเก็บภาษีจากการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโตเคอร์เรนซี’ หลังได้รับความนิยมอย่างมากจากนักลงทุนในประเทศ เป็นอีกหนึ่งความพยายามหาเงินเข้ารัฐท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังลุกลามต่อเนื่อง

Neilmaldrin Noor โฆษกของสำนักงานสรรพากรอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการหารือในเรื่องการเรียกเก็บภาษีจากนักลงทุนที่ทำกำไร จากการซื้อและขายคริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency)

โดยส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นจากการทำธุรกรรมดังกล่าว ต้องคิดเป็นภาษีเงินได้

อินโดนีเซียเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สั่งห้ามใช้คริปโตเคอร์เรนซี สำหรับการชำระเงินแทนเงินสด แต่ยังเปิดให้ทำการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ ได้

Indodax แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่อ้างว่าใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ระบุว่า จำนวนสมาชิกในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นแตะสามล้านคนหลังตลาดเติบโตขึ้นอย่างมาก เเละมูลค่าของเหรียญดิจิทัลชื่อดังอย่าง Bitcoin , Ethereum เเละสินทรัพย์คริปโตฯ อื่น ๆ พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยเมื่อเดือนที่เเล้ว Dogecoin ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 700%

ช่วงที่ผ่านมา ทางการอินโดนีเซียเเละอีกหลายประเทศ ได้เเจ้งเตือนนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยง’ ของการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล เนื่องจากไม่มีมูลค่าพื้นฐานและราคามีความผันผวนสูง

สำหรับการจัดเก็บภาษีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย ภายใต้ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 19 ..2561 ซึ่งมีผลใช้บังคับมาตั้งแต่ 14 พฤษภาคม 2561 ระบุว่า กรณีมีการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล โดยนักลงทุนผู้ถือหรือผู้ครอบครองมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งกำไรหรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกัน เงินได้ดังกล่าวจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 15% จากผลประโยชน์นั้นก่อนที่จะมีการจ่ายให้กับนักลงทุนที่เป็นผู้ถือหรือผู้ครอบครอง กรณีเป็นการซื้อขายในประเทศไทย

คือ หากขายเหรียญดิจิทัลแล้วได้กำไรราคาขายมากกว่าต้นทุนที่ซื้อมา ก่อนที่นักลงทุนจะได้รับเงิน ผู้ขายจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% จากกำไร ก่อนจะจ่ายเงินให้ลูกค้าที่เป็นนักลงทุน จากนั้นแม้ว่าจะถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว 15% แต่ยังต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปีด้วย

 

 

ที่มา : Reuters , Yahoo Finance 

]]>
1331660
‘Meiji’ รุกตั้งบริษัทใน ‘เวียดนาม’ โอกาสขยายตลาด ‘นมผง’ หลังอัตราการเกิดมากกว่าญี่ปุ่น 70% https://positioningmag.com/1323397 Mon, 15 Mar 2021 05:43:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323397 ‘Meiji’ ยักษ์ใหญ่ด้านอาหารของญี่ปุ่น เตรียมตั้งบริษัทย่อยในเวียดนามเพื่อนำเข้าและจำหน่ายนมผงสำหรับทารก หลังมีอัตราการเกิดมากกว่าญี่ปุ่นถึง 70% นับเป็นโอกาสทางธุรกิจสำคัญที่จะเพิ่มยอดขายเเละขยายกิจการในตลาดใหม่ๆ

โดย Meiji Food Vietnam จะเป็นบริษัทที่ Meiji เป็นเจ้าของเองทั้งหมด ซึ่งกำลังจะเปิดตัวที่กรุงฮานอยในวันที่ 1 เมษายน นี้ ด้วยเงินทุนประมาณ 200 ล้านเยน (ราว 56 ล้านบาท)

เวียดนาม กำลังเป็นประเทศที่ถูกจับตามองว่าเป็นตลาดที่มีแนวโน้มดีสำหรับธุรกิจนมผงสำหรับทารก

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติ ชี้ให้เห็นว่า อัตราการเกิดของเวียดนามในปี 2020 อยู่ที่ 1.5 ล้านคน มากกว่าญี่ปุ่นถึง 70% และมีแนวโน้มจะเติบโตต่อไป โดยเวียดนามมีประชากร 97 ล้านคน ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และยังมีอายุเฉลี่ยของประชากรยังอยู่ในระดับต่ำที่ 31 ปี

ที่ผ่านมา บริษัทนมและขนมของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ มักจะเลือกส่งสินค้าที่ผลิตในประเทศไปขายในเวียดนาม ซึ่ง Meiji ก็ตั้งใจที่จะดำเนินการต่อไป โดยที่ยังไม่มีแผนจะสร้างโรงงานในท้องถิ่น

ขณะเดียวกัน Meiji มีความพยายามจะเพิ่มยอดขายในต่างประเทศให้มีสัดส่วนมากกว่า 10% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท ให้ได้ภายในปีงบประมาณ 2026 

โดยต้องการจะเจาะตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการขยายธุรกิจด้านโภชนาการ ซึ่งมีทั้งนมผงเด็กแรกเกิด โกโก้ ช็อกโกแลต รวมถึงผลิตภัณฑ์ขนมอื่นๆ

ที่ผ่านมา Meiji ได้ขยายตลาดนม โยเกิร์ตและไอศกรีม ในประเทศจีน เเละจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตในสิงคโปร์และอินโดนีเซียเป็นหลัก ส่วนในไทยจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม ผ่านการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น

ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2020 ธุรกิจอาหารของ Meiji Holdings มียอดขายรวมราว 6.4 พันล้านเยน (ราว 1.8 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 12% 

 

 

ที่มา : Nikkei , Meiji , Kyodo 

]]>
1323397
สตาร์ทอัพอินโดนีเซีย คึกคัก ‘Traveloka’ เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผ่านวิธี SPAC ภายในปีนี้ https://positioningmag.com/1319802 Wed, 17 Feb 2021 07:30:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1319802 เหล่าสตาร์ทอัพสัญชาติอินโดนีเซียกำลังรุ่ง ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด ล่าสุด ‘Traveloka’ เเพลตฟอร์มด้านท่องเที่ยวออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เตรียมยื่นจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ผ่านวิธี SPAC ภายในปีนี้ 

Ferry Unardi ซีอีโอของ Traveloka ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ถึงมุมมองต่อ Special Purpose Acquisition Company หรือ SPAC ว่ามีประสิทธิภาพมาก

ถ้าเรายิ่งทำได้เร็ว ก็จะสามารถมุ่งเน้นไปที่การดำเนินการและการเติบโตของบริษัทได้พร้อมเเย้มว่า Traveloka อาจพิจารณาจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นอินโดนีเซียในอนาคต

โดยขณะนี้ บริษัทได้หารือกับ JP Morgan เพื่อจดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ซึ่งต้องมีการศึกษาเพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมก่อนที่จะควบรวม หรือซื้อกิจการ หลังการจดทะเบียนต่อไป

การเข้าตลาดหลักทรัพย์ผ่านวิธี SPAC มากกว่าจะขายหุ้นให้สาธารณะเเบบ IPO ดั้งเดิม กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่บริษัทสตาร์ทอัพเลือกใช้ เรียกง่ายๆ ว่า SPAC คือบริษัทที่สร้างขึ้นมาเพื่อระดมเงินทุนไปซื้อบริษัทอื่น

โดย Pwc ให้คำจำกัดความของ SPAC ว่า เป็นบริษัทที่จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ได้ระดมเงินจากนักลงทุนแล้ว แต่ไม่มีแผนธุรกิจแน่ชัด อาจเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อลงทุนในธุรกิจอื่น หรือมีความตั้งใจจะควบรวมเเละเข้าซื้อกิจการอื่น ซึ่งบริษัท SPAC มีเวลา 2 ปีในการหาธุรกิจที่น่าสนใจเพื่อลงทุน หากเลยระยะเวลาดังกล่าวเเล้วบริษัทจะต้องคืนเงินให้แก่นักลงทุน

ด้านสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่ของอินโดนีเซียอย่าง Gojek และ Tokopedia ก็กำลังอยู่ระหว่างการสรุปเงื่อนไขการควบรวมกิจการ ก่อนที่จะจดทะเบียนนิติบุคคลร่วมกันในอินโดนีเซียและสหรัฐฯ

โดยทางการอินโดนีเซีย กำลังพิจารณาเรื่องการอนุญาตให้ถือหุ้นแบบ ‘Dual-Class’ สำหรับหุ้น IPO ของสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น

Traveloka เริ่มก่อตั้งบริษัทมาตั้งเเต่ปี 2012 ให้บริการจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบิน ได้รับความนิยมในภูมิภาคอาเซียน เมื่อผู้บริโภคสามารถจองเที่ยวบินและโรงแรมข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น มีเเผนจะขยายการให้บริการในด้านไลฟ์สไตล์ให้หลากหลาย ไปจนถึงให้บริการทางการเงิน

เมืองฮอยอัน ประเทศเวียดนาม (Photo : Photo by Văn Long Bùi from Pexels)

ปัจจุบัน Traveloka ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทลงทุนใหญ่ๆ อย่าง Expedia Group , กองทุนความมั่งคั่งของสิงคโปร์ GIC และ JD.com ผลักดันให้บริษัทมีมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

จากการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ที่สั่นสะเทือนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก มีรายงานว่า Traveloka เกือบจะตัดสินใจระดมทุน เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าต่ำกว่าการระดมทุนรอบก่อน

นอกจากนี้ ยังลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ ด้วยการปรับลดตำแหน่งงานในช่วงการเเพร่ระบาด โดยมีการปลดพนักงานในสิงคโปร์ไปราว 80 ตำเเหน่ง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ Traveloka ยืนยันว่า มีการวางแผนจะลงทุนเพิ่มเติมในผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อดึงดูดนักเดินทางมากขึ้น โดยในส่วนธุรกิจท่องเที่ยวของบริษัท เริ่มกลับมามีกำไรบ้างเเล้ว หลังประเทศต่างๆ ผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ แต่ก็ยังไม่มากนัก

 

 

ที่มา : Bloomberg , nikkei

]]>
1319802
เปิดเเผน 3 ปี ‘กรุงศรี’ รุกอาเซียน ทุ่ม 8.5 พันล้านลงทุนดิจิทัล ดัน ‘เงินติดล้อ’ เข้าตลาดหุ้น https://positioningmag.com/1317776 Wed, 03 Feb 2021 13:11:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1317776 เเบงก์กรุงศรีประกาศแผนธุรกิจระยะกลาง 3 ปี รุกหนักลงทุนอาเซียน ไม่หวั่นความไม่เเน่นอนทางการเมือง ทุ่มงบดิจิทัล 8,000-8,500 ล้านบาทต่อปี ตั้งเป้าสินเชื่อโต 3-5% เน้นธุรกิจใหญ่ คุมหนี้เสียไม่เกิน 2.7% คงนโยบายตั้งสำรองสูง เดินหน้าส่ง ‘เงินติดล้อเข้า IPO ตลาดหุ้นไทย

กรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ในเครือของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) ประกาศแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ปี 2564 – 2566

เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY กล่าวถึง ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า การเติบโตยังคงชะลอตัว จากผลกระทบของการระบาด COVID-19 ระลอกใหม่ เเต่ก็ยังมีปัจจัยหนุนให้เติบโตได้ อย่าง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เเละการกระจายวัคซีน

ความท้าทายที่สุดของปีนี้ ยังคงเป็นเรื่อง COVID-19 คาดว่าในช่วงไตรมาส 2 กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จะกลับมาเเละฟื้นตัวดีขึ้น

โดยแผนธุรกิจระยะกลางฉบับใหม่ดังกล่าว จะเน้นให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ดีขึ้น ควบคู่กับการเร่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดใหม่ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ผ่านกลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจ 5 ประการได้เเก่

1) ปฏิรูปธุรกิจลูกค้ารายย่อยให้เป็นหนึ่งเดียว (One Retail Transformation) โดยอาศัยฐานข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่ของกรุงศรี เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้า

2) เสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจด้านลูกค้าธุรกิจ (Commercial Business Enhancement) ผ่านการเร่งสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับห่วงโซ่ธุรกิจและการให้บริการข้ามกลุ่มลูกค้า

3) สร้างระบบนิเวศของกรุงศรีเองและการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ (Ecosystem and Partnership) เพื่อขยายฐานลูกค้า

4) ขยายธุรกิจสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Expansion) เปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ สำหรับกรุงศรีและลูกค้าในตลาดอาเซียน โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการลงทุนและการช่วยเหลือลูกค้าในการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในอาเซียน

5) การสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ (New Revenue Stream) โดยอาศัยความแข็งแกร่งและศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของกรุงศรีในการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นใหม่ๆ

เซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ทุ่มงบดิจิทัล 8,000-8,500 ล้านบาทต่อปี

ซีอีโอกรุงศรี มองว่า การพัฒนาศักยภาพทางด้านดิจิทัล เป็นหัวใจสำคัญในการแสวงหาเทคโนโลยีใหม่เเละจะช่วยผลักดันกลยุทธ์ต่างๆ ให้ไปสู่เป้าหมาย เพราะต่อไป ‘องค์กรจะขับเคลื่อนด้วยข้อมูล’

ธนาคารจึงได้ตั้บงบประมาณในการลงทุนด้านไอที ราว 8,000-8,500 ล้านบาทต่อปี โดยส่วนใหญ่จะลงทุนในด้าน ‘Big Data’ พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างระบบนิเวศเทคโนโลยี และต่อยอดการเป็น ‘ดิจิทัลเเบงกิ้ง’ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศ

ตั้งเป้าสินเชื่อ 3-5% เน้นธุรกิจใหญ่

สำหรับเป้าหมายทางการเงินในปี 2564 กรุงศรีฯ หวังว่า การเติบโตของสินเชื่อจะอยู่ที่ระดับ 3-5% ซึ่งจะเน้นไปที่สินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ราว 5-6% และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และรายย่อยอยู่ที่ 3-4%

ด้านต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3.1-3.3% การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา และจะพยายามควบคุมคุณภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้ไม่เกิน 2.7%

ขณะที่การตั้ง ‘สำรองหนี้สงสัยจะสูญ’ ในปีนี้ กรุงศรียังใช้นโยบายการตั้งสำรองในระดับสูงเช่นเดิม เเต่ตัวเลขน่าจะต่ำลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการในปี 2563 กรุงศรีมีกำไรสุทธิจำนวน 23,040 ล้านบาท ลดลง 14.5% เมื่อเทียบกับปี 2562 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ 42.52% สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 2% และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 175.12% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ที่ 19.10%

Photo : Shutterstock

ดันขาย IPO เงินติดล้อ 

สำหรับความคืบหน้าการเข้าตลาดหุ้นไทยของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ NTL ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของธนาคารกรุงศรีที่ถือหุ้นอยู่ 50% และ Siam Asia Credit Access Ple Ltd (SACA) ถือหุ้นอยู่ 50%

ดวงดาว วงศ์พนิตกฤต ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า อยู่ระหว่างการดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) และจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

“ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรอสำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติไฟลิ่ง คาดว่าจะใช้เวลาในการอนุมัติใน 6 เดือน ซึ่งภายหลังการอนุมัติ บริษัทจะดำเนินการภายในเวลาอีก 1 ปี ดังนั้นระยะเวลาปิดรายการแล้วเสร็จ น่าจะเห็นภายในสิ้นปีนี้ หรือกลางปี 2565” 

ด้าน ‘ราคา’ กำลังพิจารณาอยู่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะต้องดูความสนใจของตลาดเเละมหาชนเป็นหลัก โดยกรุงศรีจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเป็นไม่ต่ำกว่า 30%

รุกลงทุนอาเซียน ไม่หวั่นการเมือง ‘ไม่เเน่นอน’

สำหรับเศรษฐกิจในอาเซียนนั้น กรุงศรี ประเมินว่า จะมีการฟื้นตัวเร็ว เเละจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคอื่น ด้วยอานิสงส์จากต่างประเทศ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การลงทุนของภาครัฐ และการขยายเศรษฐกิจสู่ระดับภูมิภาค โดยมองว่าตลาดอาเซียนจะเติบโตสูง หลังวิกฤตโรคระบาด

ส่วนเศรษฐกิจโลก จะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่การระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ส่งผลให้ความเสี่ยงในภาคอุตสาหกรรมบริการเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ความแข็งแกร่งของภาคการผลิต ประกอบกับมาตรการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะยังคงเป็นปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ

เมื่อถามว่า ความไม่เเน่นอนทางการเมืองในอาเซียน ส่งผลต่อการลงทุนของธนาคารหรือไม่นั้น ผู้บริหารกรุงศรีตอบว่า

“การลงทุนในประเทศ Emerging Market ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องการเมืองที่ไม่เเน่นอน เเต่ไม่ได้ทำให้เป้าหมายใหญ่เปลี่ยนไป เพราะธนาคารเน้นมองในภาพใหญ่และเป็นเป้าหมายในระยะยาวมากกว่า ซึ่งตลาดอาเซียนมีเเนวโน้มเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไปเเละเป็นโอกาสสำคัญในการลงทุน” 

เเผนการขยายธุรกิจในอาเซียนของธนาคารกรุงศรีฯ

ในปีที่ผ่านมา กรุงศรีขยายฐานธุรกิจไปยังภูมิภาคอาเซียน เช่น การยกระดับ Hattha Kaksekar Ltd. บริษัทไมโครไฟแนนซ์เครือกรุงศรีในกัมพูชาขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ Hattha Bank Plc. รวมถึงการเข้าซื้อหุ้น 50% ในบริษัท SB Finance Company, Inc. (SBF) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเครือ Security Bank Corporation (SBC) หนึ่งในธนาคารชั้นนำของฟิลิปปินส์ การลงทุนและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับ Grab

โดยจะเน้นไปที่ตลาด ‘สินเชื่อรายย่อย’ เพื่อเข้าถึงประชากรในอาเซียนที่มีจำนวนมาก ในยามที่คู่เเข่งยังไม่เยอะ

 

 

]]>
1317776
SCGP โกยรายได้ปี 63 เเตะ 9.2 หมื่นล้าน กำไรโต 23% ปีนี้ทุ่ม 2 หมื่นล้าน รุกกิจการอาเซียน https://positioningmag.com/1316435 Tue, 26 Jan 2021 09:02:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1316435 อานิสงส์กระเเสเดลิเวอรี่บูม ดันธุรกิจเเพ็กเกจจิ้งโตท่ามกลางวิกฤต COVID-19 เจ้าใหญ่อย่าง SCGP โกยรายได้ ปี’63 ทะลุ 92,786 ล้าน ฟันกำไรสุทธิ 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เร่งเครื่องหลังระดมทุนหุ้น IPO ปีนี้ทุ่มลงทุน 2 หมื่นล้าน ขยายพอร์ตสินค้าดีลควบรวมกิจการในอาเซียน ลุยบรรจุภัณฑ์อาหารรับเทรนด์โลก

วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจตลอดปี 2563 ว่า มีความท้าทายอย่างมาก จากความผันผวนของเศรษฐกิจและการระบาดของ COVID-19 เเต่ถือเป็น ‘โอกาสสำคัญ’ ของธุรกิจเเพ็กเกจจิ้ง ที่บริษัทจะได้เน้นไปที่ ‘ผู้บริโภค’ เเละการ ‘ดีไซน์’ สินค้ามากขึ้น

โดยในช่วงที่ผ่านมา ผู้บริโภคมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์มากขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และบรรจุภัณฑ์อาหาร (Foodservice Packaging) โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปลายปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ 

SCGP เป็น 1 ใน 3 ธุรกิจหลักของ ‘ปูนซิเมนต์ไทย’ ให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในอาเซียนปัจจุบันมี 40 โรงงานใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยมีส่วนแบ่งตลาดในภูมิภาคอาเซียน 36%

ผลการดำเนินงานของทั้งปี 2563 มีรายได้จากการขายที่ 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน กำไรสุทธิ 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน และมี EBITDA (กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ไม่รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม และรวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้ยืมตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2562) เท่ากับ 16,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปีก่อน

วิชาญ บอกว่า กลยุทธ์หลักๆ ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้ดี มาจากการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย การบริหารต้นทุน วัตถุดิบ และซัพพลายเชนที่มีการปรับพอร์ตการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การขยายฐานธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream) และการควบรวมกิจการ (M&P) เพื่อขยายฐานธุรกิจในอาเซียน

วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 23,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 1,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA เท่ากับ 4,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) สินค้าอุปโภคบริโภค การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อยอดขายบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา” 

โดยช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา SCGP ได้เข้าลงทุนใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ในประเทศเวียดนาม เพื่อการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ 

พร้อมการลงทุนล่าสุดใน Go-Pak UK Limited หรือ Go-Pak ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำของอังกฤษ ซึ่งจะทำให้ SCGP ขยาย ‘ตลาดใหม่’ ในสหราชอาณาจักร ยุโรปและอเมริกาเหนือ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยการขยายธุรกิจใน SOVI และ Go-Pak จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพการนำเสนอบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและเพิ่มรายได้ให้ SCGP กว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี 

“ธุรกิจในปี 2564 ในส่วนของ “รายได้” คาดว่าจะเกินระดับ 1 แสนล้านบาท เเละมีอัตราการเติบโตเเบบดับเบิลดิจิต” 

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทเสนอการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2563 ในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น ซึ่งรอการอนุมัติจากการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2564 ตามรายชื่อ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 8 เมษายน 2564 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพุธที่ 7 เมษายน 2564

ปีนี้ทุ่มลงทุน 2 หมื่นล้าน

หลังระดมทุนหุ้น IPO ได้ราว 4.1 หมื่นล้าน SCGP วางเเผนขยายธุรกิจ ‘เชิงรุก’ มากขึ้น โดยปี 2564 ได้ตั้งงบลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท (เพิ่มจากปี 2020 ที่มีงบลงทุนอยู่ที่ 10,426 ล้านบาท) เน้นขยายธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำในภูมิภาคอาเซียน

รวมไปถึง โครงการขยายกำลังผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และโครงการขยายบรรจุภัณฑ์โพลิเมอร์ในประเทศไทยจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการได้ภายในปีนี้

กุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน SCGPคาดว่า ความต้องการบรรจุภัณฑ์อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเพื่อสุขภาพ การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ จะยังคงขยายตัวในปีนี้ และในระยะยาวคาดว่า อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์จะได้รับปัจจัยบวกจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตสินค้ามายังภูมิภาคอาเซียน

อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อของผู้บริโภค อาจมีแนวโน้ม ‘ชะลอตัว’ จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าเเละดีมานด์สำหรับสินค้าคงทนยังไม่แน่นอน ส่วนของราคาเยื่อกระดาษน่าจะปรับตัวขึ้นหลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เนื่องจากมีความต้องการใช้เยื่อในการผลิตกระดาษทิชชูสำหรับสินค้าเพื่อสุขอนามัยมากขึ้น

ด้านค่าเงินบาทที่เเข็งค่าต่อเนื่องนั้น มีผลกระทบต่อ SCGP ในหลัก ‘ร้อยล้าน’ ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับรายได้บริษัท 

“ในงบลงทุน 2 หมื่นล้าน หลักๆ เราจะรุกธุรกิจในอาเซียน ส่วนนอกภูมิภาคอย่างที่เคยควบรวมกับ Go-Pak ในยุโรปนั้น จะดูที่เมกะเทรนด์ของโลกเป็นหลัก ว่าตลาดมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงไหน” 

โดย SCGP มีแผนเสนอขาย ‘หุ้นกู้’ แก่นักลงทุนในช่วง 2-3 เดือนต่อจากนี้ เพื่อนำไปชำระคืนเงินกู้ที่จะครบกำหนดกับสถาบันการเงิน เบื้องต้นกำหนดอายุหุ้นกู้ที่ 3 ปี 8 เดือน รวม 5,500 ล้านบาท คาดว่าจะแจ้งรายละเอียดอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงเดือน ก.พ.นี้

 

 

]]>
1316435
‘ฟินเทค’ ในเวียดนาม กำลังรุ่ง…MoMo สตาร์ทอัพ e-Wallet ระดมทุนใหญ่มุ่งเป็น Super App https://positioningmag.com/1314310 Thu, 14 Jan 2021 09:41:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1314310 สตาร์ทอัพฟินเทคในเวียดนาม กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก ล่าสุด MoMo ผู้ให้บริการ
อีวอลเล็ต (e-Wallet) รายใหญ่ที่สุดในประเทศ ระดมทุนได้เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ วางเเผนสู่การเป็น ‘Super App’ เตรียมเสนอขายหุ้น IPO ภายในปี 2025

เทคโนโลยีด้านการเงินในเวียดนาม ที่มีประชากรเกือบ 98 ล้านคน มีกลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนมาก เเละเป็นหนึ่งในประเทศที่เติบโตไวสุดในอาเซียน เริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซเเละการค้าขายออนไลน์เป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้น ร้านค้าเเละผู้บริโภคมองหาตัวเลือกการชำระเงินเเบบไร้สัมผัส (Contactless Payment)

Pham Thanh Duc ซีอีโอของ MoMo เปิดเผยกับ Reuters ว่า ไม่สามารถระบุจำนวนเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ได้ เนื่องจากข้อตกลงที่ทำร่วมกับนักลงทุน แต่บอกได้ว่าครั้งนี้เพิ่มขึ้นกว่าการระดมทุนครั้งก่อนที่เคยทำไว้
100
ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 พันล้านบาท)

โดยมีบริษัทใหญ่ 6 ราย ร่วมลงทุน ได้แก่ Warburg Pincus, Goodwater Capital, Affirma Capital Singapore, Kora Management, Macquarie Capital และ Tybourne Capital Management

MoMo มีชื่อย่อมาจาก Mobile Money ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2007 เป็นแอปพลิเคชันการชำระเงินออนไลน์ รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ปัจจุบันมียอดผู้ใช้บริการกว่า 23 ล้านคน โดยตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 2 เท่าให้เป็นราว 50 ล้านคน ภายใน 2 ปีข้างหน้า พร้อมวางเเผนจะเสนอขายหุ้น IPO สู่สาธารณะภายในช่วงปี 2021-2025

การระดมทุนครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของ MoMo ให้ก้าวสู่การเป็นแอปพลิเคชันที่ครอบคลุมทุกบริการแบบครบวงจร ที่เรียกว่าSuper Appซึ่งพิสูจน์ให้เห็นเเล้วว่าเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จทั้งในจีน สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

แม้ว่าตอนนี้ชาวเวียดนามจะยังนิยมชำระด้วยเงินสดเป็นหลัก แต่การชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟนก็เพิ่มสูงขึ้นเกือบเเตะ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2020 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 980% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2019

Tech in Asia รายงานว่า ธุรกิจฟินเทคในเวียดนาม ปัจจุบันมีผู้เล่นอยู่ราว 39 ราย มีการเเข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อชิงช่องว่างตลาด โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 เเอปอี-วอลเล็ตที่ได้รับการดาวน์โหลดมากที่สุด ได้แก่ MoMo, ViettelPay, AirPay และ ZaloPay

เจ้าใหญ่อย่าง MoMo ต้องรับศึกหนักเพื่อต่อสู้กับ VNPay เเอปฯ ชำระเงินออนไลน์ที่มียอดผู้ใช้งานอยู่ที่ราว 15 ล้านคน ซึ่งกำลังจะเป็นสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์นตัวล่าสุดของเวียดนาม

โดยผู้ร่วมก่อตั้ง MoMo เคยกล่าวกับ Tech in Asia ว่า บริษัทยังมีข้อได้เปรียบในตลาดนี้ เนื่องจากมีผู้ค้าออฟไลน์จำนวนมาก” อยู่ในเครือข่าย ตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ไปจนถึง
ร้านกาแฟเเละร้านขายของชำรายย่อย

 

ที่มา : Reuters , Tech in Asia

 

]]>
1314310
ส่องโอกาส ‘นักลงทุนจีน’ เเห่ขนเงินบุกตลาดไทย หลังวิกฤต COVID-19 https://positioningmag.com/1313268 Thu, 07 Jan 2021 11:49:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313268 ความไม่เเน่นอนของเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางโรคระบาด COVID-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

โดยนักลงทุนจากประเทศจีน ถือเป็นกลุ่มใหญ่ลำดับต้นๆ ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงเหล่านี้ มาดูกันว่าทิศทางของเม็ดเงินการลงทุนของจีนจะเป็นอย่างไร ธุรกิจที่น่าสนใจ ผู้ประกอบการชาวไทยต้องเตรียมตัว เเละมีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง เพื่อเตรียมความพร้อมรับโอกาสการลงทุนในปี 2021 นี้

คาดจีน ‘ขนเงิน’ ลงทุนไทย หลัง COVID-19 

สำหรับภาพรวมการลงทุนของนักลงทุนจีนในประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักธุรกิจ SMEs ที่ปรับกลยุทธ์หันมาใช้ไทยเป็นฐานการผลิต เพื่อขยายตลาดในอาเซียน

หากย้อนไปในช่วง 5 ปีก่อน จะเห็นว่าสัดส่วนการลงทุนของจีนในไทยไม่ได้อยู่ในอันดับ 5 แต่ในปี 2561 ประเทศจีนขึ้นมาอยู่ในอันดับ 1 เเทนที่ประเทศญี่ปุ่นที่เคยเป็นอันดับ 1 ในการลงทุนในตลาดไทย

มาณพ เสงี่ยมบุตร รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ให้ข้อมูลว่า สัดส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของจีนในปี 2562 มีมูลค่าการลงทุนสะสมรวมอยู่ที่
1.4
แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการลงทุนในอาเซียนสัดส่วนประมาณ 11% และไทยมีสัดส่วนประมาณ 1% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากในปี 2558 ที่มีสัดส่วนการลงทุนสะสมเพียง 0.3% เท่านั้น

แม้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ถือว่ายังค่อนข้างน้อย หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น CLMV ที่มีสัดส่วนการลงทุนถึง 4% โดยเฉพาะการลงทุนในเวียดนามที่ค่อนข้างโดดเด่น สะท้อนว่าการลงทุนในไทยยังค่อนต่ำเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน เเต่ก็มองว่าส่วนนี้ยังสามารถขยายเพิ่มได้อีก

โดย SCB ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจีนขนาดกลางและขนาดใหญ่จำนวน 170 รายที่มีการลงทุนหรือเกี่ยวข้องกับไทย พบว่า นักลงทุนกว่า 2 ใน 3 ให้ความสนใจที่จะขยายการลงทุนมายังไทยในช่วง 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ราว 60% ยังเป็นกลุ่มที่ไม่เคยลงทุนหรือทำธุรกิจในประเทศไทยมาก่อน ถือว่าเป็นโอกาสใหม่ที่สำคัญ

เหตุผลหลักๆ คือ มองว่าไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ มีความพร้อมและตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่จะสามารถก้าวเป็นศูนย์กลางอาเซียนเพื่อเชื่อมโยงตลาดสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น ต่างจากในอดีตที่นักลงทุนจีนเคยมองว่า ประเทศไทยเป็นเพียงฐานการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น

อีกทั้ง ยังมีปัจจัยที่เอื้อให้การลงทุนไทยยังเติบโต จากนโยบายการลงทุนต่างประเทศของจีนที่น่าจะเปลี่ยนไปเพราะภัยโรคระบาด จากเดิมที่เคยมองการลงทุนในสหรัฐฯ เเละยุโรป ก็มีเเนวโน้มจะนำเงินทุนเหล่านั้นมาลงในประเทศ
เเถบอาเซียนเเละไทย ที่มีความรุนเเรงในการเเพร่ระบาดน้อยกว่า

จีนลุยเจาะธุรกิจ ‘บริการ’ ในไทย 

อุตสาหกรรมที่นักลงทุนจีนให้ความสนใจเริ่มกระจายตัวมากขึ้น จากเดิมที่กระจุกตัวในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อส่งออก และอุตสาหกรรมหนัก อย่าง การลงทุนในระบบรางขนส่ง รถไฟ ฯลฯ

แต่ในระยะหลังนักธุรกิจจีนเริ่มหันมาบุกตลาดไทยมากขึ้น ทั้งในภาคบริการ เทคโนโลยี สาธาณูปโภค โลจิสติกส์ ร้านอาหาร รวมไปถึงการตั้งสำนักงานทนายความรองรับนักธุรกิจจีนในไทย

จากเดิมเม็ดเงินลงทุนจากจีนจะมีขนาดใหญ่ราว 1,000 ล้านบาท เเละจำกัดอยู่ในอุตสาหกรรมหลัก อย่าง ยางรถยนต์ ต่างจากตอนนี้ที่มีการกระจายการลงทุนมากขึ้น ทำให้เม็ดเงินลงทุนมีขนาดเล็กลง อาจเหลือเพียง 500 ล้านบาท แต่เราจะได้เห็นปริมาณโครงการลงทุนว่ามีมากขึ้นเกินความคาดหมาย

โดยพฤติกรรมของนักลงทุนจีน โดยเฉพาะ SMEs (ที่มีขนาดใหญ่กว่าในไทย) ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า จะใช้เงินลงทุนในช่วงแรกน้อยลง เพื่อเรียนรู้ตลาดก่อนขยายธุรกิจในอนาคตตามโอกาสและทิศทางการเติบโต โดยธุรกิจบริการและเทคโนโลยี จะเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของนักธุรกิจจีนที่มีแนวโน้มจะขยายการลงทุนในประเทศไทยต่อไป

ร้านอาหารจีน
Photo : Shutterstock

เเซงญี่ปุ่น จีนขึ้นเบอร์ 1 ดันเม็ดเงิน FDI ในไทย 5 หมื่นล้าน

ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์ว่า ในปี 2564 GDP ทั่วโลกน่าจะอยู่ที่ 5.4% ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ติดลบ 4.1%

โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ เเละยุโรปจะฟื้นตัว แต่ยังไม่เท่ากับช่วงก่อนวิกฤต COVID-19 ขณะที่จีนยังเป็นมหาอำนาจใหญ่ชาติเดียวที่ยังเติบโตได้ แม้จะชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้าก็ตาม

คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวได้ 8.3% เมื่อเทียบกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกปีนี้จะอยู่ที่ 5.4% ถือว่าเป็นโอกาสดีในการทำธุรกิจกับจีน

หากดูข้อมูลการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของโลก จากการประเมินของ UNCTAD ในปี 2564 พบว่า ยังมีแนวโน้มหดตัว -10% จากปี 2563 ที่หดตัวสูงถึง -30-40% หรือคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนอยู่ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2558 ที่มีเม็ดเงินลงทุน 2.04 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลมาจาก COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์

เเต่จะเห็นว่าภูมิภาคเอเชียได้รับผลกระทบน้อยสุด โดยเม็ดเงิน FDI หดตัว -12% เมื่อเทียบกับภูมิภาคยุโรปที่หดตัว -100% สะท้อนการควบคุม COVID-19 ได้ค่อนข้างดี

เมื่อเจาะลึกถึงการลงทุนในไทยของนักลงทุนจากจีน พบว่า ในช่วง 9 เดือนของปี 2563 เทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน เเม้การยื่นขอส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะมีอัตราการหดตัว -19% แต่จะเห็นว่าการอนุมัติโครงการมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากการยื่นขอในช่วง 2-3 ปีก่อนทำให้มีเม็ดเงินการลงทุนเข้ามาในไทยต่อเนื่อง

ปัจจุบันการขอส่งเสริมการลงทุนของจีน ขึ้นแซงหน้าประเทศญี่ปุ่นมาเป็นอันดับ 1 แล้ว โดยมูลค่าเงินทุนที่ได้รับอนุมัติของจีนอยู่ที่ 5.15 หมื่นล้านบาท จากมูลค่าเงินลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมอยู่ที่ 2.21 หมื่นล้านบาท

“ในปี 2563 จะเห็นว่าญี่ปุ่นยื่นขอส่งเสริมการลงทุน BOI มากที่สุด แต่จีนได้รับการอนุมัติการลงทุนมากที่สุด”

โดยต่อไป ไทยต้องเร่งในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามา ไปพร้อมๆ กับปัจจัยสนับสนุน อย่าง การลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภูมิภาค (The Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) และต้องจับตาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยการที่สหรัฐฯ มีผู้นำคนใหม่เป็น “โจ ไบเดน” ก็จะเห็นทั้งนโยบายส่งเสริมและกีดกันทางการค้ามากขึ้น เเละโลกจะแบ่งเป็น 3 ขั้วอำนาจได้แก่ จีน สหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตา

โอกาสเเละความเสี่ยงที่ควรระวัง

มาณพ ระบุว่า การที่โครงสร้างพื้นฐานในประเทศ CLMV นั้นต้องพึ่งพาจีนมากกว่าไทย เเละมีชายเเดนใกล้กัน ทำให้มีความสัมพันธ์กับนักลงทุนจีนมากกว่า เเต่ไทยก็ยังสามารถวาง ‘จุดเเข็ง’ ของตัวเองได้ ด้วยการเป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานเเละเทคโนโลยีที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงความพร้อมเรื่องของบุคลากร ที่จะเป็นตัวต่อยอดกับนักธุรกิจจีนต่อไปได้

“เหตุผลนักลงทุนจีนเลือกมาที่ประเทศไทย เขาไม่ได้มองไปที่การประหยัดต้นทุนเป็นอันดับเเรก ซึ่งต่างกับการไปลงทุนที่ใน CLMV ที่มักจะพิจารณาถึงต้นทุนที่ต่ำกว่า”

สำหรับข้อดีที่เป็นโอกาสต่อไป คือ นักธุรกิจจีนกำลังจะเข้ามาในลงทุนในไทยมากกว่าทุกวันนี้ เเละกระจายตัวไปในหลายภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อตีตลาดไทย หาช่องทางการตลาดโดยตรงเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องการเข้าเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจไทย

เหล่านี้เป็นโอกาสของนักธุรกิจไทย ที่จะเข้าไปเป็น “พันธมิตรร่วมทุน” หรือจับมือการค้าต่างๆ รวมไปถึงการให้บริการหรือขายบริการให้กับนักธุรกิจจีนที่มาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ดังนั้น จึงต้องเตรียมการทำเข้าใจนักธุรกิจจีนมากขึ้น เพราะคนจีนจากเเต่ละภูมิภาค เเต่ละมณฑลก็มีลักษณะการทำธุรกิจที่เเตกต่างกัน นักธุรกิจจากบริษัทขนาดใหญ่เเละขนาดเล็กก็เเตกต่างกัน เป็นช่องทางที่เราจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านกฎระเบียบของไทย ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงของตลาดไทยมากขึ้น

Photo : Shutterstock

ด้าน “ความเสี่ยง” ที่ต้องระมัดระวังนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าเเต่เดิมจีนวางว่าไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก จึงไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ธุรกิจบ้านเราเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีผลกระทบต่อดีมานด์-ซัพพลาย เเต่ปัจจุบันเมื่อนักธุรกิจจีนเลือกที่จะเข้ามาตีตลาดไทยเอง ก็ทำให้สมการการเเข่งขันเปลี่ยนเเปลงไป

อีกทั้งนักธุรกิจจีนยังมาพร้อมกับเงินทุน ต้นทุนที่ต่ำกว่า เเละเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า ตลอดจนวิธีการทำงานของนักธุรกิจจีนบางรายก็มีความก้าวร้าวมากกว่านักธุรกิจชาติอื่นๆ เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ต้องทำความเข้าใจให้รอบคอบ

“ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีเเบรนด์จีนขยับขึ้นมามีชื่อเสียงระดับโลกเพิ่มขึ้นมาก สินค้ามีคุณภาพ มีการดีไซน์สินค้า นำไปสู่การเเข่งขันในตลาดที่ดุเดือดมากขึ้น ดังนั้นนักธุรกิจไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ รวมถึงการหาแนวทางเป็นคู่ค้ากับนักธุรกิจจีนเพื่อรับกระเเสเม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนต่อไป” 

 

]]>
1313268