EU เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่ซื้อจากแพลตฟอร์มของจีนอย่าง Shein และ Temu รวมถึง Aliexpress โดยเหตุผลสำคัญคือสินค้าจีนราคาถูกได้ทะลักเข้าสู่ยุโรปจำนวนมาก ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการหลายแห่งได้รับความเดือดร้อน
มาตรการที่ EU เตรียมงัดขึ้นมาคือ จะมีการขึ้นภาษีสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 150 ยูโร ซึ่งในอดีตไม่เคยต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งก่อนหน้านี้มีแค่การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้เหล่า E-commerce ที่มีแหล่งจัดส่งนอกสหภาพยุโรป เช่น จีน ฯลฯ จะโดนภาษีเพิ่มเติมทันที ถ้าหากส่งสินค้าให้กับลูกค้าที่อยู่ในสหภาพยุโรป
จำนวนสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 150 ยูโรได้ทะลักเข้ามาในทวีปยุโรปมากถึง 2,300 ล้านชิ้นในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก EU เผยว่าแต่ละครัวเรือนในสหภาพยุโรปได้สั่งซื้อสินค้าจาก E-commerce เฉลี่ยครัวเรือนละ 2 ชิ้น
สำหรับ Shein หรือแม้แต่ Temu นั้นได้ขายสินค้าที่มีราคาถูก อย่างเช่น เดรสผู้หญิงในราคาราวๆ 10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือแม้แต่สินค้าที่มีราคาถูกมากๆ ไม่เพียงเท่านี้ผู้ประกอบการจากจีนนั้นยังได้ประโยชน์เนื่องจากอัตราค่าขนส่งของจีนนั้นยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่จ่ายในอัตราแพงกว่า
ผลที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ประกอบการในยุโรป เช่น H&M หรือแม้แต่ Inditex เจ้าของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นอย่าง Zara นั้นเสียความสามารถในการแข่งขันจากสินค้าราคาถูกจากจีนเหล่านี้ จนต้องมีการงัดกลยุทธ์ออกมาต่อสู้
ไม่ใช่แค่ EU เท่านั้นที่กำลังปวดหัวกับสินค้าจากจีนจำนวนมากทะลักเข้าสู่ประเทศ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อินโดนีเซียเองกำลังพิจารณาที่จะขึ้นภาษีสินค้าจากจีนบางชนิดสูงถึง 200% ด้วยเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลมองว่าสินค้าที่ทะลักเข้ามาบางชนิดส่งผลทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้
ก่อนหน้าที่จะมีมาตรการตอบโต้สินค้าราคาถูกจากจีน EU ได้ออกมาตรการขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดถึง 38.1% มาแล้ว เพื่อตอบโต้รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ยุโรปจำนวนมาก และมองว่าผู้ผลิตจากจีนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ส่งผลทำให้ EV จีนมีราคาถูกกว่าผู้ผลิตในสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ดีในการใช้มาตรการดังกล่าวนั้นอาจเพิ่มหน้าที่ให้กับเจ้าหน้าที่ศุลกากร เนื่องจากต้องตรวจสอบสินค้านำเข้าจำนวนมาก นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ของ EU ยังเตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อนำเสนอให้กับรัฐสภายุโรปชุดใหม่ เพื่อพิจารณาวิธีการตอบโต้สินค้าจากจีนที่ทะลักเข้ามาด้วย
ที่มา – The Guardian, Reuters
]]>Reuters และ Channel News Asia รายงานข่าวว่า อินโดนีเซียเตรียมที่จะขึ้นภาษีสินค้าจีนบางรายการสูงสุดถึง 200% โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ตามมาจากสินค้าจีนหลายประเภทได้ทะลักเข้าสู่ประเทศมากเกินไป จนทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการดังกล่าวออกมา
สินค้าจากจีนที่จะมีการขึ้นภาษีนั้นประกอบไปด้วย รองเท้า ผลิตภัณฑ์เซรามิก เสื้อผ้า สิ่งทอ เครื่องสำอาง เหล็ก โดยอัตราภาษีนั้นเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 100% และบางรายการนั้นปรับเพิ่มมากถึง 200%
Zulkifli Hasan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย ได้กล่าวว่า สินค้าจีนหลายประเภทได้ทะลักเข้าสู่ประเทศมากเกินไป ซึ่งผลดังกล่าวจะทำให้ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก หรือแม้แต่ธุรกิจขนาดย่อมนั้นล่มสลายลงได้ และการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจะทำให้สินค้าเหล่านี้ลดการทะลักเข้ามา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย ยังได้กล่าวเสริมในการสัมภาษณ์ของ Channel News Asia ว่า ผู้ประกอบการในประเทศได้รับผลกระทบโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้า เนื่องจากสินค้านำเข้ามีราคาถูกกว่าสินค้าที่ผู้ประกอบการในประเทศผลิต
สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลทำให้ผู้ประกอบการในประเทศอินโดนีเซียไม่สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากประเทศจีนได้ มาตรการดังกล่าวนั้นออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องปิดตัวลง หรือแม้แต่ต้องมีการปลดพนักงาน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีการปิดตัวลงของธุรกิจประเภทดังกล่าว หรือแม้แต่การล้มละลายจำนวนมาก
สาเหตุที่ทำให้อินโดนีเซียต้องประกาศมาตรการดังกล่าวออกมานั้น เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ทวีความรุนแรง ทำให้สินค้าจากแดนมังกรที่ไม่สามารถส่งออกไปยังโลกตะวันตกได้ทะลักเข้าสู่หลายประเทศ ซึ่งอินโดนีเซียเป็นอีกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว
ในปี 2023 ที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้ออกกฎระเบียบเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้ามากกว่า 3,000 รายการ ตั้งแต่ส่วนผสมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และสารเคมี เนื่องจากรัฐบาลต้องการให้มีการผลิตสินค้าในประเทศมากขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทหลายแห่ง ไม่เว้นแม้แต่ Apple เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าว
จีนนั้นถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ 1 ใน 3 ของอินโดนีเซีย นอกจากนี้จีนยังเป็นประเทศที่นำเม็ดเงินลงทุน หรือ FDI เข้าอินโดนีเซียเป็นอันดับต้นๆ ด้วย
]]>รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ได้ออกร่างกฎหมายที่เตรียมควบคุมให้บริษัทหรือนักลงทุนรายบุคคลต้องมีการแจ้งเตือนรัฐบาลถ้าหากมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควอนตัมคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่เทคโนโลยีการผลิตชิป
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามหลังมาจากในเดือนสิงหาคมปี 2023 ที่ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้เตรียมออกกฎเกณฑ์กำหนดให้บุคคลและบริษัทในสหรัฐฯ ต้องส่งเรื่องให้กับหน่วยงานรัฐเพื่อพิจารณาว่าธุรกรรมการลงทุนในประเทศจีน ซึ่งบางธุรกรรมอาจถูกจำกัดหรือมีสิทธิ์ที่จะถูกแบนได้
ร่างดังกล่าวนั้นส่งผลต่อการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทั้งในหุ้นบริษัท หุ้นกู้ หรือแม้แต่การกู้เงิน และยังรวมถึงการร่วมทุนกับบริษัทหรือบุคคลในฝั่งจีนด้วย
Paul Rosen ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ที่ดูแลด้านความมั่นคงด้านการลงทุน ได้กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวที่เสนอนี้ทำให้ความมั่นคงของชาติของเราก้าวหน้าขึ้นโดยป้องกันผลประโยชน์การลงทุนของสหรัฐฯ ที่บางประเทศที่ใช้เพื่อคุกคามความมั่นคงต่อประเทศชาติ
แผนการดังกล่าวนี้ต้องการที่จะชะลอในการพัฒนาเทคโนโลยีที่คุกคามความมั่นคงขอสหรัฐฯ ซึ่งจีนต้องการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหรือไล่ตามสหรัฐฯ ให้ใกล้เคียงมากที่สุด และจำกัดไม่ให้จีนเข้าถึงด้านเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะนำไปใช้ในทางทหารได้
นอกจากนี้ร่างกฎหมายยังห้ามไม่ให้บริษัทหรือนักลงทุนรายบุคคลลงทุนในเทคโนโลยี AI ที่มีความเสี่ยงว่าจะใช้ในการทหาร และยังจะต้องมีการแจ้งเตือนรัฐบาลถ้าหากมีการพัฒนาเทคโนโลยี AI หรือแม้แต่ในด้านเซมิคอนดักเตอร์
ในช่วงที่ผ่านมาสหรัฐได้ออกมาตรการเพื่อไม่ให้จีนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดไม่ให้เข้าถึงชิปเร่งการประมวลผล AI ของ Nvidia จนทำให้ภาคเอกชนจีนต้องรีบซื้อชิปดังกล่าวจำนวนมาก หรือแม้แต่การขอร้องให้ชาติพันธมิตรอย่าง ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ไม่ให้จีนเข้าถึงอุปกรณ์การผลิตชิปรุ่นใหม่ล่าสุด
ไม่เพียงเท่านี้บริษัทในสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เน้นลงทุนในเหล่าสตาร์ทอัพ (VC) ได้ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะชะลอตัวลงไปเนื่องจากความขัดแย้งของ 2 มหาอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา
และกรณีดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่เริ่มลุกลามบานปลายเพิ่มมากขึ้น ไม่มีท่าทีที่จะชะลอตัวลงแต่อย่างใด
ที่มา – Al Jazeera, Reuters
]]>สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวโดยอ้างอิงข้อมูลจาก Bain & Company บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำได้คาดการณ์ถึงตลาดสินค้าหรูในปี 2024 นี้จะเติบโตเพียงแค่ 4% เท่านั้น ซึ่งการเติบโตดังกล่าวนี้เป็นการเติบโตที่อ่อนแอมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเลขตลาดสินค้าหรูเติบโตได้ถือว่าน้อยมากนั้นมาจากเรื่องของเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนและสหรัฐอเมริกา ที่ลดการจับจ่ายใช้สอย โดยในสหรัฐฯ นั้นมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูง ส่งผลทำให้ลูกค้าที่เป็นชนชั้นกลางหรือกลุ่มวัยรุ่นชะลอการซื้อสินค้าหรู
แต่ในรายงานดังกล่าวของ Bain ยังชี้ว่า สำหรับกลุ่มลูกค้าร่ำรวยในสหรัฐอเมริกานั้นเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าวแล้ว
รายงานของ Bain ยังชี้ว่าในประเทศจีนการชะลอตัวสามารถเห็นได้ชัดเจนสุดเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อสินค้าหรู นั่นก็คือชนชั้นกลางจีน ผลกระทบดังกล่าวยังส่งผลต่อชาวจีนผู้มั่งคั่งที่ยังสามารถซื้อของหรูเหล่านี้ได้ก็ต้องระมัดระวังในการแสดงตน
Federica Levato ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์ของ Bain ได้กล่าวในเรื่องดังกล่าวว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีนที่คนซื้อสินค้าหรูเหล่านี้จะต้องระมัดระวังในการแสดงตน หรือ Luxury Shame
ไม่เพียงเท่านี้ ในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราการว่างงาน วิกฤตทางสังคมและเศรษฐกิจ ส่งผลทำให้ชาวจีนที่ร่ำรวยกว่าที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ย้ายการจับจ่ายใช้สอยไปยังต่างแดน ซึ่งความกังวลดังกล่าวมาจากยอดขายสินค้าของบางแบรนด์ในแดนมังกร เช่น Gucci ที่มีฐานลูกค้าชาวจีนจำนวนมากนั้นมียอดขายลดลง
สอดคล้องกับกลยุทธ์ของหลายแบรนด์ดังเองที่เริ่มหาตลาดใหม่ๆ นอกจากจีนและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากหลายประเทศมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
การเติบโตของตลาดสินค้าหรูนั้นในปี 2022 นั้นเติบโตที่ 13% ขณะที่ปี 2023 เติบโตที่ 8% และรายงานดังกล่าวของ Bain ยังมองว่าตลาดสินค้าหรูต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวสักพัก
]]>สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า Shein แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นจากจีน ได้ปรับราคาสินค้าบางรายการขึ้น โดยสื่อรายดังกล่าวอ้างอิงมุมมองของนักวิเคราะห์ที่มองว่าบริษัทพยายามที่จะทำให้ตัวเลขยอดขายของบริษัทนั้นดูดีเพิ่มมากขึ้น ก่อนที่บริษัทจะมีการ IPO เข้าตลาดหุ้นในเร็วๆ นี้
บริษัทวิจัย EDITED ได้เปรียบเทียบราคาสินค้าของ Shein ในวันที่ 1 มิถุนายนเทียบกับปี 2023 พบว่าสินค้าหลายชนิดของบริษัทได้มีการปรับเพิ่มราคา และราคาสินค้าของแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นจากจีนบางรายการแพงกว่าคู่แข่งอย่าง H&M หรือแม้แต่ Zara ด้วยซ้ำ
Alex Romanenko หัวหน้าฝ่ายด้านการตั้งราคาค้าปลีกของบริษัทที่ปรึกษา Pearson Ham Group ได้กล่าวกับ Reuters ว่า หากมีการปรับขึ้นราคาสินค้าแล้วยังมีผู้ที่ยังซื้อสินค้าจำนวนมากอยู่ การประเมินมูลค่ากิจการของ Shein จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น)
อย่างไรก็ดี Erik Lautier ผู้เชี่ยวชาญด้าน E-Commerce จากบริษัทที่ปรึกษา AlixPartners ได้กล่าวว่าการปรับราคาสินค้าของ Shein เป็นแค่การเพิ่มยอดขายของบริษัทเท่านั้น แต่การผลักดันยอดขายของบริษัทให้เติบโตคือจะต้องเพิ่มจำนวนผู้ซื้อในแพลตฟอร์มให้ได้มากขึ้น และเข้าไปดูสินค้าในแพลตฟอร์มบ่อยมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามมาหลังจากที่บริษัทได้เตรียมที่จะขายสินค้าอื่นๆ นอกจากเสื้อผ้า ซึ่ง Shein ได้เริ่มพูดคุยกับแบรนด์ต่างประเทศหลายแห่ง เพื่อชักชวนให้แบรนด์เหล่านี้นำสินค้ามาวางขายบนแพลตฟอร์มของบริษัท นอกจากนี้ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มด้วย
ก่อนหน้านี้ Shein มีชื่อเสียงในเรื่องการขายสินค้าราคาถูกเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งทำให้คู่แข่งหลายรายต้องแก้เกมธุรกิจอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น H&M หรือแม้แต่ Zara ที่ต้องส่งแบรนด์เสื้อผ้าที่มีราคาถูกลงมา เพื่อต่อสู้จากแบรนด์ ฟาสต์แฟชั่นจากจีน
อย่างไรก็ดี Shein เองยังพบกับอุปสรรคหลายอย่างก่อนที่จะ IPO ไม่ว่าจะเป็นข้อครหาจากการละเมิดลิขสิทธิ์ซึ่งบริษัทได้ออกมาปฏิเสธในเรื่องดังกล่าว ขณะเดียวกันบริษัทพยายามในการผลักดันบริษัทให้สามารถระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนให้ได้ แต่ก็พบอุปสรรคจากการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน
]]>South China Morning Post รายงานข่าวว่า Alipay แพลตฟอร์มบริการจ่ายเงินในประเทศจีน ได้เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานให้กับผู้ใช้งานผ่านมินิแอปประเมินว่าผู้ใช้งานมีโอกาสหัวล้านหรือผมร่วงมากเกินไปหรือไม่ ซึ้งปัญหาดังกล่าวนั้นกำลังคุกคามชาวจีนจำนวนมากในเวลานี้
มินิแอปดังกล่าวที่ตรวจสอบว่าผู้ใช้งานมีโอกาสหัวล้านหรือผมร่วงมากเกินไปหรือไม่ Alipay ได้พัฒนาร่วมกับทางคลีนิกที่เชี่ยวชาญในเรื่องการรักษาหัวล้านและผมร่วงในเมืองหางโจว ฟังก์ชั่นดังกล่าวจะมีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ฝึกฝนโดยใช้รูปภาพจริงๆ หลายพันรูป
ระบบการทำงานจะตรวจสอบสภาพศรีษะและเส้นผมที่ผู้ใช้งานอัปโหลดรูปศรีษะทั้งด้านหน้า ด้านบน และด้านข้าง ขึ้นไปยังแพลตฟอร์มของบริษัท ซึ่งถ้าหากผู้ใช้งานเริ่มมีปัญหาผมร่วงมากเกินไปหรือมีโอกาสหัวล้านก็จะแนะนำให้ไปพบแพทย์
ปัญหาผมร่วงหรือแม้แต่ปัญหาหัวล้านในประเทศจีนถือเป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อย ซึ่งข้อมูลจากหน่วยงานด้านสุขภาพของจีนรายงานตัวเลขดังกล่าวในปี 2020 ว่า ประชากรราวๆ 250 ล้านคนกำลังประสบปัญหาดังกล่าว ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัจจุบันวัยรุ่นชาวจีนเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม ท่ามกลางความเครียด มลภาวะ ท่ามกลางการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
Cai Kefa ผู้จัดการโครงการใช้ AI เพื่อเช็คว่าผมร่วงและหัวล้านหรือยังของ Alipay ได้กล่าวว่าในมินิแอปสามารถแจ้งเตือนเวลาผมร่วงได้ทันท่วงทีในทางวิทยาศาสตร์ เขายังกล่าวว่าสิ่งนี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานเลิกพึ่งพาวิธีการรักษาตามความเชื่อ เช่น การถูขิงบนศีรษะ เป็นต้น
ในช่วงที่ผ่านมาแอปชื่อดังของจีนรายนี้ ได้พยายามฉีกแนวออกจากบริการจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทมีแผนที่จะปรับบริการให้เน้นเป็นเครือข่ายทางสังคม (Social Network) ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางพูดคุยในเรื่องที่ผู้ใช้งานสนใจไม่ว่าจะเป็น กาแฟ ไวน์ แคมป์ปิ้ง เบสบอล เดินป่า ตกปลา ปั่นจักรยาน เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านี้ Alipay ยังมีความพยายามให้ผู้ใช้งานเข้าใช้แพลตฟอร์มเพิ่มมากขึ้นด้วยการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ที่ครอบคลุมในด้านต่างๆ เช่น การเงิน ไลฟ์สไตล์ การดูแลสุขภาพ เพิ่มเติมจากเครือข่ายทางสังคม ซึ่งฟังก์ชั่นดังกล่าวนั้นถือเป็นอีกบริการที่บริษัทต้องการจะฉีกแนวจากคู่แข่ง
]]>The Times สื่อในประเทศอังกฤษ รายงานข่าวว่า Volvo แบรนด์รถยนต์ในทวีปยุโรป ที่ปัจจุบันมีเจ้าของคือ Geely แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน ได้เตรียมย้ายกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากลับสู่ทวีปยุโรปอีกครั้ง ซึ่งสาเหตุสำคัญมากจากเพื่อต้องการลดความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าสินค้า
โดยแหล่งข่าวของสื่ออังกฤษรายงานว่าโรงงานผลิตของ Volvo ได้ระงับการขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจีนซึ่งส่งออกไปยังทวีปยุโรปแล้ว นอกจากนี้สื่อรายดังกล่าวยังได้รายงงานว่า จะมีการย้ายกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในรุ่น EX30 และ EX90 จากจีนไปยังเบลเยียมอีกด้วย
นอกจากนี้กำลังการผลิตในยุโรปนั้นอาจรวมถึงการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าของ Volvo ไปยังสหราชอาณาจักรด้วย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทเตรียมแผนดังกล่าวเนื่องจากสหภาพยุโรปนั้นกำลังพิจารณาจะมีการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า หลังจากมีการสอบสวนว่าจีนมีการใช้เงินอุดหนุนดังกล่าวจริงหรือไม่ เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากประเทศจีนนั้นมีราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับผู้ผลิตในยุโรป ส่งผลทำให้ผู้ผลิตในทวีปยุโรปประสบปัญหา
อย่างไรก็ดีจีนได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวว่า จีนไม่เคยมีการอุดหนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าของจีนนั้นได้รับความนิยมเนื่องจากราคาและรถยนต์ไฟฟ้าของจีนสามารถแข่งขันกับผู้เล่นรายอื่นๆ ได้
ปัญหาการทะลักเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มหาอำนาจย่ำแย่ลง เนื่องจากยุโรปนั้นอุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจสำคัญของทวีป มีการจ้างงานจำนวนมาก รวมถึงซัพพลายเออร์หลากหลายแห่ง และถ้าหากอุตสาหกรรมดังกล่าวได้รับผลกระทบ ย่อมกระเทือนถึงเศรษฐกิจยุโรปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
]]>สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานถึงเชนร้านกาแฟอย่าง Luckin Coffee ที่มีข่าวฉาวในการปลอมแปลงยอดขายจนทำให้บริษัทถูกถอดออกจากกระดานซื้อขายหุ้นในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2020 แต่ล่าสุดสถานการณ์ของบริษัทนั้นดีขึ้นจากหลายปัจจัยด้วยกัน
การกลับมาของเชนร้านกาแฟรายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญแต่อย่างใด แต่มาจากหลายปัจจัย เช่น เรื่องของการเปลี่ยนทีมผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่ทำให้เชนร้านกาแฟจากจีนรายนี้นั้นกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง จากการอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2021 ทำให้บริษัทสามารถเดินหน้าในเรื่องธุรกิจได้อย่างสะดวก
ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้ใช้กลยุทธ์เรื่องราคาเป็นหลักเช่นกัน โดยราคากาแฟขนาดไซส์เท่ากัน Starbucks จะอยู่ที่ราวๆ 33 หยวน ขณะที่ Luckin Coffee ราคาอยู่ที่ 11 หยวน ขณะที่ Cotti ซึ่งเป็นคู่แข่งรายสำคัญนั้นราคาจะอยู่ที่ 9.9 หยวน
ไม่เพียงเท่านี้เมนูของบริษัทเองก็ถือว่าดึงดูดลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเมนูกาแฟอย่างลาเต้ที่ใส่นมมะพร้าว ซึ่งเมนูดังกล่าวในบางสาขานั้นครองยอดขายมากถึง 70% ในปี 2021 นอกจากนี้ยังมี ชานมไข่มุก หรือเมนูอื่นๆ ซึ่งเชนร้านกาแฟรายนี้พยายามที่จะเพิ่มเติมเพื่อที่จะดึงดูดลูกค้ามากขึ้น
สำหรับเมนูที่แปลกและสร้างกระแสให้กับบริษัทนั้นก็คือเมนูกาแฟใส่นม แต่มีการเพิ่มเหล้าจากบริษัทเหมาไถ (Moutai) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล้ารายใหญ่ของจีน และเมนูดังกล่าวถือว่าขายดีเช่นกัน
ปัจจุบัน Luckin Coffee นั้นมีสาขามากกว่า 18,500 สาขา และยังมีการขยายสาขาเพิ่มอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ในช่วงเดือนมิถุนายนปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรไปแล้วกว่า 678 ล้านหยวน
คู่แข่งรายสำคัญอย่าง Starbucks นั้นผู้บริหารเองยังได้กล่าวถึงคู่แข่งที่อยู่ในประเทศจีนนั้นได้ใช้สงครามราคา แต่ก็มองว่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น อย่างไรก็ดีในการรายงานผลประกอบการนั้นจะเห็นได้ว่าในไตรมาส 1 ของปี 2024 นี้เชนร้านกาแฟจากสหรัฐอเมริกากลับมียอดขายในจีนลดลง 6%
อย่างไรก็ดีราคาหุ้นของ Luckin Coffee ที่ซื้อขายนอกตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานั้นยังถือว่ามีราคาต่ำกว่าจุดสูงสุดที่เคยทำไว้อยู่ที่ราวๆ 63% ซึ่งถือว่ายังเป็นหนทางที่เชนร้านกาแฟรายนี้ยังต้องฝ่าฝันอุปสรรค หรือแม้แต่ต่อสู้กับคู่แข่งหลายราย เพื่อที่จะทำกำไรให้ได้มากกว่าเดิม และมีราคาหุ้นกลับมาสูงกว่าเดิม
]]>สำนักข่าว Reuters ได้รายงานข่าว โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้กล่าวถึงประเด็นที่กำลังเผ็ดร้อนอยู่ในเวลานี้คือ รถยนต์ไฟฟ้าจีนได้ออกสู่ท้องตลาดโลกและกำลังตีตลาดในหลายประเทศนั้นรัฐบาลจีนได้มีการสนับสนุนผ่านเม็ดเงินอุดหนุนหรือไม่
Mao Ning โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้กล่าวถึงในกรณีดังกล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากความได้เปรียบในการแข่งขันและกฎหมายตลาด
โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีน ยังกล่าวเสริมในเรื่องดังกล่าวว่า จีนไม่ได้มีการให้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแต่อย่างใด ซึ่งเงินอุดหนุนดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎเกณฑ์ขององค์การการค้าระหว่างประเทศ (WTO)
ไม่เพียงเท่านี้ โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีน ยังกล่าวว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนได้ส่งออกสู่สหรัฐอเมริกาเพียงแค่ 13,000 คันเท่านั้น ด้วยตัวเลขดังกล่าวสหรัฐอเมริกาไม่สามารถที่จะกล่าวหาจีนได้
ในช่วงที่ผ่านมามีหลายประเทศเริ่มกังวลถึงการเข้ามาตีตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ที่มีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า หรือแม้แต่ยุโรปที่กำลังสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากกังวลว่าการทะลักของรถยนต์ไฟฟ้าจีนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
ขณะที่ในมุมผู้บริหารอย่าง Elon Musk ซึ่งเป็น CEO ของ Tesla เคยกล่าวไว้เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า ถ้าหากไม่มีกำแพงด้านการค้าต่อผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีนแล้ว หัวเรือใหญ่ของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐฯ รายนี้มองว่า EV จากจีนเองจะทำลายคู่แข่งจากทวีปอื่นจนย่อยยับได้
ถ้อยแถลงดังกล่าวของโฆษกของกระทรวงการต่างประเทศของจีน ตามหลังมาจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวหาว่าจีนให้เงินอุดหนุนเพื่อทำให้สหรัฐอเมริกาท่วมท้นไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ซึ่งสะท้อนความกังวลจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องดังกล่าว
]]>Pinduoduo ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่น E-commerce ในประเทศจีน ล่าสุดขนาดบริษัทสามารถที่จะแซงหน้ายักษ์ใหญ่ที่ครองแชมป์มานานอย่าง Alibaba ลงได้ ขณะเดียวกันการแข่งขันดังกล่าวของบริษัทเทคโนโลยีจีนนั้นอาจไม่ใช่แค่ศึกภายในประเทศ แต่ยังรวมถึงศึกนอกประเทศด้วย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Pinduoduo มีขนาดบริษัทใหญ่กว่า Alibaba ไปแล้วคือ กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศจีนและนอกประเทศจีน ซึ่งในประเทศจีน Pinduoduo ใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เช่น การใช้โมเดลให้ลูกค้าร่วมกันสั่งของเป็นปริมาณมาก และเน้นขายสินค้าราคาถูก เป็นต้น
ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ E-commerce คู่แข่งในประเทศจีนหลายรายที่เคยเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็น Alibaba หรือแม้แต่ JD.com ถึงกับนั่งไม่ติด
ขณะที่กลยุทธ์นอกประเทศจีน Pinduoduo ได้ส่ง Temu ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันลูกของทางบริษัทไปตีตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรก โดยการส่งธุรกิจไปตีตลาดต่างประเทศนั้นเมื่อเทียบกับ Alibaba แล้วถือว่าใช้เวลานานกว่ามาก แต่กลับประสบความสำเร็จเนื่องจากกลยุทธ์ของบริษัทคือเน้นขายสินค้าราคาถูก
ขณะเดียวกัน Pinduoduo เองก็มีแผนการขยายธุรกิจ Temu ไปยังหลายประเทศ และอาเซียนเองก็เป็นอีกหมุดหมายหนึ่งของบริษัทในการตีตลาดของบริษัทเช่นกัน
ตัวเลขล่าสุด (30 พฤษภาคม) จาก Bloomberg นั้น Pinduoduo มีขนาดบริษัท 210,079 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 7.72 ล้านล้านบาท สามารถที่จะโค่นแชมป์เก่าอย่าง Alibaba ที่มีขนาดบริษัทเพียงแค่ 191,182 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 7.03 ล้านล้านบาท ได้ในที่สุด
มาดูทางฝั่งของ Alibaba นั้น บริษัทกลับประสบปัญหานับตั้งแต่การเข้ามาปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีของรัฐบาลจีน สิ่งที่บริษัทโดนทั้งข้อหามีพฤติกรรมผูกขาด จนทำให้บางกรณีบริษัทต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงินจำนวนมหาศาล จนทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด
ขณะเดียวกัน Alibaba เองก็ยังประสบกับความท้าทายไม่ว่าจะเป็นความพยายามที่จะต้องดึงลูกค้ากลับมา เนื่องจากการแข่งขันในแพลตฟอร์ม E-commerce ในจีนที่ดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นกับ Pinduoduo เอง หรือแม้แต่คู่แข่งรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น JD.com หรือแม้แต่ Douyin
ไม่เพียงเท่านี้ธุรกิจต่างประเทศของ Alibaba เอง เช่น Lazada หรือ Aliexpress เองก็ต้องสู้กับคู่แข่งทั้งจากในจีนอย่าง Temu ของ Pinduoduo หรือแม้แต่ TikTok Shop รวมถึงผู้เล่นอย่าง Shopee หรือ E-commerce ที่เป็นผู้เล่นภายในประเทศ
จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวทำให้บริษัทมีแผนต้องปรับกลยุทธ์ภายในไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยน CEO คนใหม่ หรือแม้แต่การแยกธุรกิจออกมาเป็น 6 หน่วยธุรกิจ เพื่อที่จะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับหน่วยงานกำกับดูแล ไปจนถึงการปลดล็อกมูลค่าบริษัทให้กับผู้ถือหุ้นเนื่องจากราคาหุ้นที่ตกลงมาเป็นเวลาหลายปี แม้แต่ผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง แจ็ก หม่า เองก็สนับสนุนแผนการดังกล่าว
ในท้ายที่สุดแล้วศึกระหว่าง Pinduoduo กับ Alibaba ย่อมไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน เพราะมีทั้งศึกภายในประเทศจีน หรือแม้แต่นอกประเทศจีน ซึ่งต่างฝ่ายต้องการที่จะทำให้บริษัทเติบโตเพิ่มมากขึ้น ภายใต้ความท้าทายทั้งในและนอกประเทศ
]]>