ศูนย์วิจัยกสิกรไทย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 31 Jul 2025 11:44:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 โรงงานไทย เปิดตัวลดลง 4 ปีติด ครึ่งแรกปี 68 หดตัว 33% https://positioningmag.com/1531706 Wed, 30 Jul 2025 11:35:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531706 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า การเปิดตัวโรงงานใหม่ในไทย ช่วงครึ่งปีแรก 2568 (มกราคม – มิถุนายน)    มีจำนวน 674 แห่ง ลดลง -33% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

โดยเป็นการหดตัวต่อเนื่อง 4 ปีติดต่อกัน และส่วนต่างระหว่างการเปิด-ปิดโรงงาน เริ่มมีช่องว่างลดลง ดังนี้

ครึ่งปีแรก 2565

  • เปิดตัว 1,122 แห่ง
  • ปิดตัว 508 แห่ง
  • ส่วนต่างเปิด/ปิดโรงงาน 614 แห่ง

ครึ่งปีแรก 2566

  • เปิดตัว 1,013 แห่ง
  • ปิดตัว 627 แห่ง
  • ส่วนต่างเปิด/ปิดโรงงาน 386 แห่ง

ครึ่งปีแรก 2567

  • เปิดตัว 1,009 แห่ง
  • ปิดตัว 667 แห่ง
  • ส่วนต่างเปิด/ปิดโรงงาน 342 แห่ง

ครึ่งปีแรก 2568

  • เปิดตัว 674 แห่ง
  • ปิดตัว 358 แห่ง
  • ส่วนต่างเปิด/ปิดโรงงาน 316 แห่ง

ทั้งนี้ ส่วนต่างการเปิดใหม่หักด้วยการปิดตัวของโรงงานในหลายอุตสาหกรรมให้ภาพที่แย่ลง อาทิ เฟอร์นิเจอร์    ยานยนต์ และโลหะ

สอดรับไปกับ อัตราการใช้กำลังการผลิตที่หดตัว โดยช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ลดลง -5% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดย อุตสหกรรมที่มีอัตราการผลิต หดตัวมากสุด ได้แก่

1.เครื่องใช้ไฟฟ้า -33%

2.เฟอร์นิเจอร์ -24%

3.อิเล็กทรอนิกส์ -30%

4.ยานยนต์ -12%

5.สิ่งทอ -9%

มองข้ามช็อตไปข้างหน้า ประเมินว่า ผลจากการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจทำให้โรงงานลำบากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดว่า โรงงานภาคการผลิตมีแนวโน้มเปิดใหม่ลดลง และปิดตัวต่อ จากหลายปัจจัยเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น

  • กำลังซื้อในประเทศลดลง
  • ผลจากสงครามการค้ารอบใหม่
  • ต้นทุนการผลิตหลายรายการยังผันผวนและอาจปรับสูงขึ้นอีก
]]>
1531706
คนไทยสายบุญ ดันตลาดการกุศล ปี 68 เงินสะพัด 1.5 แสนล้าน/ปี https://positioningmag.com/1529953 Mon, 14 Jul 2025 09:45:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1529953 จะว่า “คนไทยใจบุญ” อาจจะไม่เกินจริง เพราะตัวเลขตลาดการกุศล ที่เกี่ยวข้องกับการทำบุญ อาทิ การบริจาคให้วัด คนและสัตว์ยากไร้ ตลอดจนการบรรเทาสาธารณภัย กำลังโตแบบเงียบ ๆ และขยายตัวต่อเนื่อง (อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกรไทย)

  • ปี 2560 ตลาดการกุศล มีมูลค่า 129,000 ล้านบาท
  • ปี 2568 ตลาดการกุศล คาดการณ์มีมูลค่า 150,000 ล้านบาท

“ระยะ 9 ปี (พ.ศ. 2560 – 2568) ตลาดการกุศลมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 2% ต่อปี”

แล้วอะไรทำให้ตลาดการกุศลเงินสะพัดขนาดนี้?

1.คนไทยอินกับการทำบุญตามความเชื่อทางศาสนา โดยในแต่ละเดือน ค่าใช้จ่าย 1% ของครัวเรือน จะใช้ไปกับกิจกรรมทางศาสนา

ยกตัวอย่าง ครอบครัว A มีรายได้รวมกันอยู่ที่ 50,000 บาท ก็จะใช้เงินไปกับการทำบุญราว 500 บาท/เดือน นั่นเอง

2.การช่วยเหลือสังคมผ่านการทำ CSR โดยองค์กรต่าง ๆ หันมา “ทำดีเพื่อสังคม” ผ่านการบริจาค เช่น ธนาคารตั้งกองทุนช่วยเหลือเด็กและผู้สูงอายุ เป็นต้น

3.การบริจาคในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว เป็นต้น

4.การลดหย่อนภาษี คนไทยบริจาคเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีมากกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท/ปี

3 เทรนด์บริจาคใหม่น่าจับตา

New Motivation : เหตุผลการบริจาคเปลี่ยนไป จาก “เพราะเชื่อ” เป็น “เพราะอยากช่วย” เช่น

  • บริจาคช่วยสัตว์ยากไร้
  • บริจาคออนไลน์ (Online Donation)

New Target : กลุ่มเป้าหมายใหม่มาแรง

  • เด็ก Gen Z ที่โตมากับโลกดิจิทัล เริ่มหันมาทำบุญผ่านแอปหรือโซเชียลมีเดียมากขึ้น เช่น สนับสนุนกิจกรรมใน TikTok ที่ระดมทุนช่วยผู้ป่วย เป็นต้น

New Collaboration : การร่วมมือข้ามวงการ

  • Tech Startup จับมือ NGOs สร้างแพลตฟอร์มบริจาคที่ตรวจสอบได้

4 ปัจจัยที่กำลัง “เปลี่ยนเกม” การกุศลไทย

1.ความน่าเชื่อถือคือหัวใจ – ผู้บริจาคต้องการความโปร่งใส อาทิ มีใบเสร็จ รายละเอียดชัดเจน เช็กสถานะเงินได้

2.ขยายวัตถุประสงค์ให้หลากหลาย เน้นผลลัพธ์ระยะยาว เช่น การศึกษา การแพทย์ เป็นต้น

3.การให้สิทธิประโยชน์จูงใจ เช่น ขยายขอบเขตการลดหย่อนภาษี และการให้ส่วนลดร้านค้า ของที่ระลึก

4.เทคโนโลยีช่วยเร่งบุญ เช่น การบริจาคผ่านช่องทางออนไลน์ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล

]]>
1529953
SMEs เสี่ยงปิดกิจการต่อเนื่อง เฉลี่ยปิดตัวเพิ่มปีละ 7% https://positioningmag.com/1529779 Sat, 12 Jul 2025 02:53:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1529779 ธุรกิจ SMEs ของไทย มีมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 1 ใน 3 หรือประมาณ 35% ของ GDP หรือประมาณ 6.5 ล้านล้านบาท กำลังเผชิญหลายปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะผลของสงครามการค้ารอบใหม่ และการแข่งขันกับสินค้านำเข้า  ท่ามกลางตลาดในประเทศที่เติบโตต่ำ

ส่งผลให้ ยังเสี่ยงขาดทุนหรือปิดตัวต่อ จากที่ก่อนหน้านี้ ถูกกระทบจากปัญหาโครงสร้างที่มีอยู่เดิม ทำให้มีการปิดตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% ต่อปี (อ้างอิงศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ดังนี้

  • ปี 2564 ปิดกิจการ 19,237 ราย
  • ปี 2565 ปิดกิจการ 21,765 ราย
  • ปี 2566 ปิดกิจการ 23,280 ราย
  • ปี 2567 ปิดกิจการ 23,551 ราย

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของ SMEs โดย 26% ของธุรกิจรายเล็กและรายย่อยขาดทุนต่อเนื่องในช่วง 3 ปี (พ.ศ. 2563 – 2566) มีจำนวนสูงถึง 106,595 ราย

ส่วนกลุ่มที่มีทั้งกำไรและขาดทุนสลับกันไป มีจำนวน 143,097 ราย และกลุ่มที่ทำกำไรตลอด 3 ปี มีจำนวน 164,019 ราย

ธุรกิจ SMEs ที่ยังคงยากลำบากในการแข่งขัน และเสี่ยงขาดทุน/ปิดกิจการต่อ แบ่งออกเป็น 2 ภาคหลัก ได้แก่

ภาคการค้าและบริการ
  • ก่อสร้าง
  • ร้านอาหารและเครื่องดื่ม
  • ขนส่งสินค้า/คน
  • ร้านค้าปลีกอินเทอร์เน็ต
  • ร้านค้าปลีกทั่วไป
ภาคการผลิต
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก
  • ผลิตภัณฑ์พลาสติก
  • อิเล็กทรอนิกส์
  • เครื่องจักรและส่วนประกอบ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในอนาคต ธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มขาดทุนหรือปิดกิจการต่อเนื่องในแทบทุกอุตสาหกรรม

โดย ภาคการผลิต ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ และต้องเผชิญการแข่งขันกับสินค้านำเข้า

ส่วน ภาคการค้าและบริการ รับแรงกดดันจากกำลังซื้อในประเทศลดลง การแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ และการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

]]>
1529779
ต่างชาติเที่ยวไทย ครึ่งปีแรก 2568 จำนวน 16.7 ล้านคน ลดลง 5% จีน หดตัวสูงสุด 34% https://positioningmag.com/1529684 Fri, 11 Jul 2025 06:46:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1529684 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งแรกปี 2568 (มกราคม – มิถุนายน) จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในไทย มีจำนวน 16.7 ล้านคน ลดลง -5% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

โดย นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หดตัวสูงถึง -12% ขณะที่ภูมิภาคอื่นยังเติบโต อาทิ ยุโรป +17%, อเมริกา +10%, ตะวันออกกลาง +3%

ทั้งนี้ Top 10 นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เที่ยวไทยมากสุดในช่วงครึ่งแรกปีนี้ พบว่า

อันดับ 1 มาเลเซีย -6%

อันดับ 2 จีน -34%

อันดับ 3 อินเดีย +14%

อันดับ 4 รัสเซีย +1%

อันดับ 5 เกาหลีใต้ -17%

อันดับ 6 สหราชอาณาจักร +18%

อันดับ 7 สหรัฐอเมริกา +9%

อันดับ 8 ญี่ปุ่น +8%

อันดับ 9 สปป.ลาว -19%

อันดับ 10 เยอรมนี +11%

“นักท่องเที่ยวหลักอย่าง จีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ หดตัวอย่างต่อเนื่อง”

ศูนย์วิจัยกสิกร ประเมินช่วงครึ่งหลังของปี 2568 (กรกฎาคม – ธันวาคม) ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย      มีปัจจัยลบมากขึ้น อาทิ

  • เศรษฐกิจหลายประเทศชะลอตัว กระทบแผนการท่องเที่ยว
  • สงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
  • ปัญหาชายแดนระหว่าง ไทย – กัมพูชา
  • ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
  • ปัจจัยการเมืองในประเทศ

“ทั้งปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย ‘มีความเสี่ยงสูง‘ ที่จะต่ำกว่า 34.5 ล้านคน”

]]>
1529684
ไทยเที่ยวไทย ปี 68 คาดโตชะลอตัว 2.2% พิษกำลังซื้ออ่อนแอ-คนไป ตปท. แทน ชี้ราคาถูกกว่าเที่ยวในประเทศ https://positioningmag.com/1528867 Fri, 04 Jul 2025 08:17:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1528867 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งแรกปี 2568 (ม.ค. – มิ.ย.) การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยโตชะลอลง มีจำนวน 101 ล้านคน-ครั้ง หรือเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

ขณะที่รายได้ท่องเที่ยวจากคนไทยเที่ยวในประเทศ มีมูลค่า 574,426 ล้านบาท เติบโต 3.5% (YoY)

สาเหตุสำคัญมาจาก ตลาดเผชิญปัจจัยลบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว คนไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ และกำลังซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่มยังอ่อนแอ

“บางจังหวัดคนไทยเดินทางท่องเที่ยวลดลง อาทิ กรุงเทพฯ กระบี่ อยุธยา และจันทบุรี”

คนไทยท่องเที่ยวในประเทศ 6 เดือนแรกปี 2568

ทั้งนี้ ช่วงครึ่งหลังปี 2568 (ก.ค. – ธ.ค.) คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศน่าจะยังเติบโตได้ แต่ชะลอลงมาอยู่ที่ 1.4% (YoY)

โดยได้อานิสงส์จากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่มีอยู่ และโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง โดยรัฐบาลช่วยจ่ายค่าโรงแรมและที่พัก รวมถึงคูปองดิจิทัลเพื่อใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด

อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมของตลาดยังมีปัจจัยลบมากขึ้น อาทิ เศรษฐกิจไทยมีทิศทางชะลอตัวและปัจจัยการเมืองในประเทศ ฉุดความเชื่อมั่นและรายได้ของผู้บริโภค และสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน อาจกระทบการเดินทางท่องเที่ยว

ขณะที่ คนไทยนิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศที่สะดวกขึ้นจากมาตรการวีซ่าฟรี

รวมถึงการทำตลาดของบริษัทนำเที่ยวที่ทำให้การท่องเที่ยวไปยังบางประเทศคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการเที่ยวในประเทศ อาทิ แพ็กเกจท่องเที่ยวหรือโปรไฟไหม้ไปเกาหลีใต้ 4 วัน 2 คืน ราคาต่ำสุดเฉลี่ย 6,000 บาท หรือไปเวียดนามราคาต่ำสุดเฉลี่ย 7,000 บาท

คาดการณ์ไทยเที่ยวไทยทั้งปี 2568

ทั้งปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าคนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศจะมีจำนวน 205 ล้านคน-ครั้ง หรือเติบโต 2.2% จากปีก่อน

แต่เป็นการเติบโตที่ไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ โดยจังหวัดท่องเที่ยวรอง (เมืองน่าเที่ยว) ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น

เทรนด์คนไทยเที่ยวเมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งมาจากหลายปัจจัย อาทิ ความต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดของสถานที่ท่องเที่ยว การมองหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ การรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวจากสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงศาสนา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดสัดส่วนคนไทยเที่ยวเมืองรองในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 41.4% จากในช่วง 5 เดือนแรกปี 2568 คนไทยเที่ยวเมืองรองมีสัดส่วนอยู่ที่ 41.3% และโตเร่งขึ้นกว่า 32.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 (ก่อนโควิด-19)

ท่องเที่ยวเมืองรอง ปี 2568

โดยพบว่า ในหลายจังหวัดเมืองรองมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยสูงกว่า 2 ล้านคน อาทิ สุพรรณบุรี เชียงราย สมุทรสงคราม อุบลราชธานี ซึ่งสูงกว่าหลายจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น สงขลา คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวมีจำนวนประมาณ 1.4 ล้านคน ขณะที่พังงา คนไทยเดินทางไปเที่ยวมีจำนวนเพียง 6.5 แสนคน

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ท่องเที่ยวเมืองรองยังน้อยโดยอยู่ที่ประมาณ 28% เมื่อเทียบกับรายได้จากเมืองท่องเที่ยวหลักที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 72% ของรายได้จากไทยเที่ยวไทยทั้งหมด

ปี 2568 การใช้จ่ายของคนไทยเที่ยวในประเทศคาดว่าจะมีมูลค่า 1.14 ล้านล้านบาท ขยายตัว 2% จากปีที่ผ่านมา โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4,100บาท/คน/ครั้ง ยังต่ำกว่าปี 2562 (ก่อนโควิด)

ทั้งนี้ การใช้จ่ายต่อคนต่อครั้งที่ยังไม่ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกระทบการใช้จ่ายระหว่างเดินทางท่องเที่ยว

ประกอบกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวไทยเปลี่ยนไป โดยคนไทย 51% ที่เที่ยวในประเทศ นิยมเดินทางแบบไปเช้า-เย็นกลับ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เพิ่มขึ้น

ค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยสคนไทย

รวมถึงคนไทยเที่ยวเมืองรองมีสัดส่วนมากขึ้น แต่การใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยวรองเฉลี่ยอยู่ที่ 2,800 บาท/คน/ครั้ง ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยวหลักที่เฉลี่ยที่ประมาณ 5,000 บาท/คน/ครั้ง

โดยค่าใช้จ่ายในเมืองท่องเที่ยวรองที่ต่ำ ส่วนหนึ่งมาจากราคาค่าบริการท่องเที่ยวที่ไม่สูง อาทิ ค่าบริการที่พักระดับ 4 ดาว เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,850 บาทต่อคืน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างกรุงเทพฯ หรือภูเก็ตอยู่ที่ประมาณ 3,500 บาทต่อคืน รวมถึงค่าบริการอาหารและของที่ระลึกที่เฉลี่ยถูกกว่า

]]>
1528867
“คนไทย” ติด Top 5 เที่ยวญี่ปุ่นสูงสุด ใช้จ่ายสะพัด 5.4 หมื่นล้านบาท โต 5% https://positioningmag.com/1523676 Wed, 28 May 2025 10:51:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1523676 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน สถานการณ์ท่องเที่ยวญี่ปุ่น ช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค. – เม.ย.) ปี 2568 พบว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนกว่า 14.4 ล้านคน เติบโต 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

โดย “เดือนเมษายน” ทำยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.9 ล้านคน

Top 5 ต่างชาติที่เที่ยวญี่ปุ่นมากสุด ได้แก่

  • อันดับ 1 เกาหลีใต้ 3.22 ล้านคน (+8%)
  • อันดับ 2 จีน 3.13 ล้านคน (+68%)
  • อันดับ 3 ไต้หวัน 2.16 ล้านคน (+12%)
  • อันดับ 4 ฮ่องกง 9.11 แสนคน (+13%)
  • อันดับ 5 ไทย 5.20 แสนคน (+12%)

มุมมองศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ปี 2568 จะมีคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นรวม 1.2 ล้านคน เติบโต 9% (YoY)

“ด้านการใช้จ่ายคนไทยในญี่ปุ่น จะสะพัดกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% หรือเฉลี่ย 4.5 หมื่นบาท/คน/ทริป”

 

]]>
1523676
แผ่นดินไหว ทำต่างชาติเข้าไทย ลดลง จีนหนักสุด คาดทั้งปี 68 หด 2-7 แสนคน https://positioningmag.com/1517701 Tue, 08 Apr 2025 10:18:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1517701 แผ่นดินไหว สะเทือนยอดยกเลิกเที่ยวบิน-ห้องพัก

หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทย

ตัวเลขเบื้องต้นในช่วง 2 วันแรกหลังเหตุการณ์ พบว่า มีการยกเลิกการจองห้องพักแล้วประมาณ 1,100 บุกกิง ทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการยกเลิกห้องพักในพื้นที่กรุงเทพฯ

อีกทั้ง การสำรวจยอดการจองห้องพักล่วงหน้าในช่วงสงกรานต์ (11-17 เมษายน 2568) ของสมาคมโรงแรมไทย ณ วันที่ 3 เมษายน 2568 ยังพบว่า ยอดการจองห้องพักล่วงหน้าลดลงราว -25% YOY ด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงอยู่ในช่วงเฝ้าระวังสถานการณ์ในไทยอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจเดินทาง

ภาพจาก Shutterstock

ศูนย์วิจัยกสิกร เผย คนจีนหดตัวมากสุด 24%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า คาดการณ์ ไตรมาส 2 ปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)

จากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตเพียง 1.9% (YoY) โดยเดือน ก.พ. และ มี.ค. หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน

Top 5 ประเทศนักท่องเที่ยวในไตรมาส 1 ปี 2568

  1. จีน: 1.3 ล้านคน (-24%)
  2. มาเลเซีย: 1.2 ล้านคน (-1%)
  3. รัสเซีย: 0.7 ล้านคน (+16%)
  4. อินเดีย: 0.5 ล้านคน (+15%)
  5. เกาหลีใต้: 0.5 ล้านคน (-11%)

สาเหตุที่นักท่องเที่ยวลดลง

  • เหตุแผ่นดินไหวกระทบความเชื่อมั่น
  • ต่างชาติชะลอการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์และวันหยุดยาวช่วงวันแรงงาน
  • ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีทิศทางลดลง

ส่งผลให้คาดการณ์ว่า ภาพรวมการท่องเที่ยว ปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดลงเหลือ 35.9 ล้านคน จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 37.5 ล้านคน

ภาพจาก Shutterstock

EIC เปิด 3 สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยปี 68 คาดหดตัว 2-7 แสนคน

SCB EIC ประเมินว่า ภาคท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบค่อนข้างเร็วในระยะสั้น โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มีแนวโน้มลดลงราว 2-7 แสนคน ตลอดการฟื้นตัว โดยให้ภาพ 3 สถานการณ์การฟื้นตัว

กรณีที่ 1 Better case นักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเมษายน ลดลงราว -9% MOM และใช้เวลาฟื้นตัวราว 2 เดือน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลดลงจากประมาณการเดิมราว 1.95 แสนคนตลอดระยะเวลาฟื้นตัว สูญเสียรายได้จากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติไปราว 9.53 พันล้านบาท

กรณีที่ 2 Base case นักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเมษายน ลดลงราว -12% MOM และใช้เวลาฟื้นตัวราว 3 เดือน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลดลงจากประมาณการเดิมราว 4.2 แสนคนตลอดระยะเวลาฟื้นตัว สูญเสียรายได้จากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติไปราว 2.06 หมื่นล้านบาท

กรณีที่ 3 Worse case นักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนเมษายน ลดลงราว -15%MOM และใช้เวลาฟื้นตัวราว 4 เดือน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 ลดลงจากประมาณการเดิมราว 6.8 แสนคนตลอดระยะเวลาฟื้นตัว สูญเสียรายได้จากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติไปราว 3.30 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้น หากภาครัฐเร่งออกมาตรการเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับคืนมาได้เร็ว โดยประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้เดิมที่ 38.2 ล้านคนจะถูกปรับหลังสถานการณ์ท่องเที่ยวมีความชัดเจนมากขึ้น

ทั้งนี้ การเร่งสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศให้ทันต่อสถานการณ์จะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

]]>
1517701
ศูนย์วิจัยกสิกร คาดเศรษฐกิจไทยสะเทือน 2 หมื่นล้านบาท เหตุแผ่นดินไหว กทม. https://positioningmag.com/1516710 Mon, 31 Mar 2025 10:36:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1516710 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินผลกระทบเหตุแผ่นดินไหว เมื่อ 28 มี.ค. 68 ต่อเศรษฐกิจไทยในเบื้องต้นคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท หรือกระทบ GDP -0.06%

หลักๆ มาจากการหยุดชะงักหรือเลื่อนออกไปของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงกำลังซื้อที่อาจลดลง เพราะธุรกิจและครัวเรือนต้องโยกกระแสเงินสด/รายได้ไปใช้เพื่อการตรวจสอบความเสียหายและซ่อมแซมอาคาร

ทั้งนี้ หากรวมความเสียหายต่ออาคาร ทรัพย์สิน การทรุดตัว/การสั่นสะเทือนของอาคารบางแห่งเพิ่มเติม รวมถึงการซ่อมแซมและการเคลมประกันหลังจากนี้ ผลกระทบจะมากกว่านี้

แม้การซ่อมแซมความเสียหายและความต้องการในการหาที่พักสำรอง จะทำให้การก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง ที่พักแนวราบ ได้รับอานิสงส์

“แต่ผลกระทบด้านลบคงจะมีต่อยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่อาจช้าลงในบางโครงการ”
ภาพตึกคอนโด ที่มาภาพ ผู้จัดการออนไลน์

นอกจากนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในระยะสั้นตามความเชื่อมั่นต่อการเดินทางและการหาที่พัก ซึ่งโรงแรมในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ก็เป็นอาคารสูง

ผลต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์ มองว่า มาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน คงช่วยประคองภาพสินเชื่อรวม ประเด็นติดตามจะอยู่ที่

  • คุณภาพหนี้ โดยเฉพาะหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
  • การไถ่ถอนหุ้นกู้ของภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบในระยะที่เหลือของปีนี้
  • ผลจากการลดดอกเบี้ยในประเทศ หากเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณการชะลอตัวที่ชัดเจนขึ้น อันจะกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของระบบแบงก์ไทยเพิ่มเติม
]]>
1516710
โรงงานไทยระส่ำ ปิดตัว 100 แห่ง/เดือน ส่วนใหญ่เป็นรายเล็ก https://positioningmag.com/1510068 Fri, 07 Feb 2025 10:43:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510068 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ระบุว่า ปี 2567 เป็นปีที่สองที่โรงงานในไทยมีการปิดตัวมากกว่า 100 แห่ง/เดือน

เห็นได้จากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2566-2567) โรงงานเปิดใหม่หักลบด้วยโรงงานปิดตัว เฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 52 แห่งต่อเดือน จาก 127 แห่งต่อเดือนในช่วงปี 2564-2565

ส่วนใหญ่โรงงานที่ปิดตัวลง อยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาโครงสร้างการผลิต และเผชิญความต้องการที่ลดลง รวมถึงแข่งขันรุนแรงทั้งจากคู่แข่งและสินค้านำเข้า อาทิ

  • อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์
  • อิเล็กทรอนิกส์
  • เสื้อผ้า
  • ยานยนต์
  • เหล็ก

หากมองในมิติขนาด พบว่า โรงงานที่ปิดตัวลงในปี 2567 เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก (SMEs) มากขึ้น สะท้อนจากทุนจดทะเบียนรวมของโรงงานที่ปิดตัวลงในปี 2567 อยู่ที่เพียง 47,833 ล้านบาท น้อยกว่าทุนจดทะเบียนรวมในปี 2566 ถึง 3.8 เท่า

นอกจากนี้ ภาคการผลิตมีการปรับลดชั่วโมงการทำงานหรือการทำงานล่วงเวลาลง (OT) โดยมีจำนวนแรงงานที่ทำงานต่ำกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 4.57 แสนคน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ราว 4.12 แสนคน หรือปรับเพิ่มขึ้นกว่า 11%

หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมจะส่งผลต่อรายได้และความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงานในภาคการผลิตที่ลดลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปี 2568 โรงงานยังเสี่ยงจะปิดตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะ SMEs จากหลายปัจจัยกดดัน ได้แก่

  • ภาวะเศรษฐกิจ/กำลังซื้อของผู้บริโภคยังเปราะบางจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
  • ผลของสงครามการค้ารอบใหม่ที่อาจส่งผลต่อต้นทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
  • แรงกดดันจากสินค้านำเข้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังให้ภาพที่หดตัวติดต่อกัน โดยในไตรมาส 4/2567 หดตัว 2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการหดตัวติดต่อกันถึง 9 ไตรมาส หรือกว่า 2 ปีแล้ว

ขณะที่ การพลิกฟื้นความสามารถในการแข่งขันจะต้องอาศัยการปรับโครงสร้างในภาคการผลิต ซึ่งทำได้ไม่ง่าย

]]>
1510068
จับทิศการลงทุนล่วงหน้า “เลือกตั้งสหรัฐฯ” ข้อมูลโดย “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” https://positioningmag.com/1487138 Thu, 22 Aug 2024 05:34:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1487138 โค้งท้ายปลายปี 2024 “เลือกตั้งสหรัฐฯ” กำลังจะวนมาอีกครั้งโดยมีคู่ชิงประธานาธิบดีระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” กับ “กมลา แฮร์ริส” คำถามสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตาคือ “ใครจะชนะศึกครั้งนี้” และ “ผู้กำชัยชนะจะสร้างแรงกระเพื่อมต่อโลกการค้าการลงทุนอย่างไร”

ฟังแนวทางวิเคราะห์คำตอบจาก “บุรินทร์ อดุลวัฒนะ” กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ข้อมูลบางส่วนจากงานสัมมนา “THE WISDOM The Symbol of Your Vision Wealth Decoded” เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2024

ปัจจุบันผลโพลล่าสุดระหว่างทรัมป์กับแฮร์ริสถือว่ายังสูสี โดยแฮร์ริสได้รับความนิยมมากกว่าเล็กน้อยที่ 46.7% ส่วนทรัมป์อยู่ที่ 43.8% ท่ามกลางการแข่งขันที่จะยิ่งเข้มข้นขึ้นหลังจากนี้จนกว่าจะถึงวัน “เลือกตั้งสหรัฐฯ” ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้

“บุรินทร์ อดุลวัฒนะ” กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

บุรินทร์กล่าวว่าจากนโยบายของทั้งสองผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เห็นได้ชัดว่าจุดแข็งสำคัญของแต่ละฝ่ายที่สร้างความต่างในการตัดสินใจของคนอเมริกันมากที่สุด ได้แก่

  • โดนัลด์ ทรัมป์ : นโยบายทางเศรษฐกิจ นโยบายผู้อพยพชายแดนเม็กซิโก ลดการสนับสนุนความมั่นคงของประเทศพันธมิตร
  • กมลา แฮร์ริส : นโยบายด้านสาธารณสุข สิทธิการยุติการตั้งครรภ์ของผู้หญิง สนับสนุนเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม
เลือกตั้งสหรัฐฯ
นโยบายที่แตกต่างของทรัมป์กับแฮร์ริส

ทั้งนี้ นโยบายด้าน “เศรษฐกิจ” คือจุดสำคัญมากที่คนอเมริกันให้ความสนใจ และเดโมแครตกับรีพับลิกันวางนโยบายเศรษฐกิจต่างกันอย่างมาก เนื่องจากเดโมแครตให้ความสำคัญกับชนชั้นกลาง แต่รีพับลิกันให้ความสำคัญกับบริษัทเอกชนและผู้มีฐานะ

โดยบุรินทร์วิเคราะห์ว่า หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง นโยบายด้านการค้าการลงทุนต่างประเทศจะไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก และส่งผลต่อการค้าโลกน้อยกว่า

แต่ถ้าหากพรรครีพับลิกันกำชัยชนะ นโยบายของ “ทรัมป์” จะส่งผลต่อการค้าโลกรุนแรงมากกว่า เนื่องจากทรัมป์จะเดินหน้า “กีดกันทางการค้า” โดยจะขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจากจีน 60% และขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ 10% เพื่อดึงดูดให้บริษัทกลับมาลงทุนตั้งฐานผลิตในสหรัฐฯ

เลือกตั้งสหรัฐฯ
คู่ค้าของสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบสูงสุดหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีและออกนโยบายกีดกันการค้า

ข้อมูลจาก The Economist Intelligence Unit (EIU) ประเมินว่า หากทรัมป์ได้รับชัยชนะ คู่ค้า 5 อันดับแรกของสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบสูงสุดเพราะกำลังเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ขณะนี้ ได้แก่ เม็กซิโก จีน แคนาดา เวียดนาม และเยอรมนี

โดยประเทศ “ไทย” อยู่ในอันดับที่ 11 ของลิสต์นี้ คาดว่าหากทรัมป์ขึ้นกำแพงภาษีจะกระทบกับจีดีพีไทยประมาณ -0.3% ต่อปี

หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจกับประเทศในเอเชียมากน้อยเพียงใด?

นอกจากประเด็นทางเศรษฐกิจแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามองหากทรัมป์ได้รับชัยชนะ คือนโยบายด้าน “กลาโหม” ของทรัมป์ที่จะ “ลด” การสนับสนุน “งบประมาณด้านความมั่นคง” ให้กับประเทศพันธมิตร ซึ่งจะทำให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ต้องหันมาดูแลตนเอง เพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของตนเองขึ้นทันที

ดังนั้น สรุปอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนหากบุคคลเหล่านี้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ

  • กรณีของ “โดนัล ทรัมป์” : น้ำมันและเชื้อเพลิง การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน อาวุธยุทโธปกรณ์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์
  • กรณีของ “กมลา แฮร์ริส”​ : เฮลธ์แคร์ เทคโนโลยีพลังงานสะอาด เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม

 

“เมกะเทรนด์” ที่มาแน่ ไม่ว่าใครเป็นประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม บุรินทร์ให้คำแนะนำด้วยว่า ไม่ว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นประธานาธิบดี จะมี “เมกะเทรนด์” ของโลกที่เกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ 2 เรื่อง คือ

1. Silver Economy เนื่องจากอัตราผู้สูงอายุเกิน 65 ปีในแต่ละทวีปจะเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัย เช่น เฮลธ์แคร์ จะทวีความสำคัญเป็นธุรกิจแห่งอนาคต

สังคมสูงวัยกำลังเร่งตัวขึ้นทั่วโลก

2. การลงทุนใน AI ปัจจุบันคิดเป็น 3% ของการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งหมด ภายในปี 2032 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 11% แต่ผู้ชนะในตลาด AI อาจยังไม่แน่ชัดว่าเป็นใคร จึงแนะนำการลงทุนในธุรกิจ ‘ต้นน้ำ’ ของ AI เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งไม่ว่าบริษัทใดเป็นผู้ชนะล้วนต้องใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เพื่อสร้าง AI ทั้งสิ้น

ทั้งสองประเด็นจึงเป็นมุมคิดในการตัดสินใจหากต้องการลงทุนระยะยาว อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ 2 เมกะเทรนด์นี้น่าจะกลายเป็น “ขาขึ้น” ได้ในอนาคต

 

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

]]>
1487138