อาคารสำนักงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 26 Aug 2025 13:26:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์” อาคารสำนักงานระดับพรีเมียม ใจกลางศูนย์กลางธุรกิจโซนบางนาภายใต้แนวคิด “A Harmony of Work, Wellbeing and Sustainability ผสานการทำงานและสร้างสมดุลชีวิตได้อย่างลงตัว https://positioningmag.com/1532531 Tue, 26 Aug 2025 09:10:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532531

เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ อาคารสำนักงานระดับพรีเมียมเกรดเอ โครงการอสังหาริมทรัพย์ของเอไอเอ ประเทศไทย ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด ก.ม.4.5 ศูนย์กลางทางธุรกิจของโซนกรุงเทพตะวันออก พร้อมรองรับนักลงทุนในทั้งกลุ่มธุรกิจ SME ตลอดจนองค์กรขนาดใหญ่ ที่มองหาอาคารสำนักงานที่ถูกออกแบบมาอย่างทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมนำเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกและไลฟ์สไตล์อันล้ำสอดรับกับแนวคิด “A Harmony of Work, Wellbeing and Sustainability” ผสานการทำงานและการสร้างสมดุลของชีวิตได้อย่างลงตัว สำหรับตัวโครงการเอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ มีความสูง 33 ชั้น พื้นที่โดยรวม 68,500 ตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานให้เช่า 59,000 ตร.ม. และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า 9,500 ตร.ม. ซึ่งพื้นที่สำนักงานตั้งอยู่บนชั้น 6 ถึงชั้น 33 ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 85 ตร.ม. จนถึงพื้นที่ขนาดใหญ่เต็มชั้น 2,200 ตร.ม. พื้นที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้รู้สึกถึงความเชื่อมโยง (Sense of Connection) เพื่อส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนไอเดียทางธุรกิจ การทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความเหมาะสม พื้นที่ห้องได้รับการออกแบบโดย ไม่มีเสากั้นกลาง (Column-free room) ซึ่งทำให้ได้พื้นที่ใช้สอยโล่ง กว้างขวาง ได้พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางและยืดหยุ่น โดยที่สามารถติดตั้งบันไดภายในออฟฟิศระหว่างชั้นเพิ่มความสะดวกสบายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานได้แบบไร้ขีดจำกัด


ดีไซน์ล้ำสมัย ผนึกความแข็งแกร่งและปลอดภัยพร้อมรางวัลการันตี 

เอไอเอได้เลือกบริษัท Creative Crews ในการออกแบบพื้นที่การทำงานและพื้นที่นั่งเล่นที่สามารถใช้ร่วมกัน รวมถึงการเลือกใช้วัสดุและแสงธรรมชาติ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แทรกซึมอยู่ทั่วอาคาร ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน ตลอดจนความแข็งแกร่งของโครงสร้างและปลอดภัยของอาคาร ภายใต้การควบคุมการก่อสร้างของบริษัท ไทย โอบายาชิ บริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำระดับโลก ได้นำนวัตกรรมการก่อสร้างมาประยุกต์ใช้ในการก่อสร้างทุกขั้นตอนตามมาตรฐานระดับสากล LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) และ WELL Building Standard ระดับโกลด์ ทำให้ได้รับรางวัลอาคารสำนักงานที่มีภูมิทัศน์สถาปัตย์ยอดเยี่ยม (Best Office Landscape) และรางวัลอาคารสำนักงานที่มีสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยม (Best Office Architectural Design Award) จากพร็อพเพอร์ตี้ กูรู ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2020

เอไอเอ ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยสูงสุดสำหรับลูกค้าผู้มาใช้บริการ โดยการออกแบบและโครงสร้างของอาคาร ได้รับการรับรองในเรื่องความปลอดภัยตามประกาศของกรุงเทพมหานคร ตามมาตรฐานการออกแบบอาคารต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว (มยผ.1302) ซึ่งสอดคล้องกับกฎกระทรวงปี พ.ศ. 2550 ซึ่งว่าด้วยการรับน้ำหนักความต้านทานและความทนทานต่อแรงแผ่นดินไหว โดยคำนึงถึงกำลังรับน้ำหนักของอาคาร (Strength Design) และการออกแบบให้มีสภาวะใช้งานที่เหมาะสม (Serviceability Design) ให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งคุณภาพและความน่าเชื่อถือในการก่อสร้างของ บริษัท ไทย โอบายาชิ จำกัด ที่ยึดมั่นในมาตรฐานสูงสุด


สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สร้างสรรค์สุขภาพดี

ภายใต้วิสัยทัศน์ของเอไอเอ “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น” พร้อมส่งเสริมผู้เช่าให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีระดับเวิลด์คลาส ตัวอาคาร เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ ได้จัดโซน AIA Vitality Zone พื้นที่สำหรับทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพ อาทิ สวนผักออร์แกนิก (Urban Farming)  การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด Zero Waste ด้วยการคัดแยกขยะนำไปสู่การจัดการเศษอาหารด้วยห้องทำปุ๋ยที่เปลี่ยนเศษอาหารจากศูนย์อาหารและส่วนกลางของอาคาร ให้กลายเป็นปุ๋ยสำหรับบำรุงสวนผักทานได้ (Edible Garden) ซึ่งได้รับความร่วมมือและการตอบรับจากลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนยึดถือหลัก ESG ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมรวมถึงธรรมาภิบาล

ภายในโครงการยังมีฟิตเนสเซ็นเตอร์ครบวงจร “เดอะฟิตเนส แพลตทินัม” บนพื้นที่กว่า 2,150 ตร.ม. นอกจากนี้ยังมีลู่วิ่งยาวขนาด 400 เมตร (Rooftop Jogging Track) สระว่ายน้ำระบบเกลือ และ Co-Working Area ฟู้ดคอร์ทพร้อมเสิร์ฟเมนูที่หลากหลาย รวมถึงบริการด้านเสริมความงามและสถาบันสอนต่างๆ อาทิ โรงเรียนสอนยิมนาสติกโดยชุมชนกีฬาไทย-แคนาดา (Thai Canadian Community Sport) ศูนย์วัดสายตา คลินิกทันตกรรม ฯลฯ

โครงการ เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ รายล้อมด้วยสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ ห้างสรรพสินค้าเมกาบางนา และเซ็นทรัลบางนา ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โรงเรียนนานาชาติ รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัย สำหรับการเดินทางมายังโครงการสามารถเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว รองรับการจอดรถได้ถึง1,250 คัน ทั้งยังมีจุดให้บริการชาร์จรถไฟฟ้า หรือเลือกการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลงสถานีศรีเอี่ยมได้อีกด้วย


เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ พร้อมรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย

ปัจจุบันความต้องการของกลุ่มนักลงทุนและผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการทำงานที่มีความยืดหยุ่น  โครงการเอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เหมาะสมตอบโจทย์ความต้องการองค์กรธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็ก SME ตลอดจนองค์กรระดับใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นโครงการเดียวในโซนบางนาที่มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพื้นที่ให้บริการ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเดินทาง ส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานควบคู่กับการสร้างสมดุลย์และยกระดับคุณภาพชีวิตในสังคมด้วย

สำหรับโครงการเอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ นับว่าเป็นโครงการที่สามต่อจากโครงการเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ย่านรัชดาภิเษก และโครงการเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ซึ่งโครงการทั้งสามแห่งของเอไอเอ ตั้งอยู่ในทำเลที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของกรุงเทพฯ และเอไอเอยังมีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นวิธีหนึ่งในการช่วยสนับสนุนให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจโครงการอาคารสำนักงานทั้งสามแห่งของ AIA สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://www.aiarealestateth.com/ หรือติดต่อข้อมูลรายละเอียดแต่ละโครงการ ดังนี้

โครงการเอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ (ถนนบางนา-ตราด) เบอร์ติดต่อ 02-170-8399

โครงการเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ (ถนนรัชดาภิเษก) เบอร์ติดต่อ 02-248-2244

โครงการเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ (ถนนสาทร) เบอร์ติดต่อ 02-286-5929

]]>
1532531
“เฟรเซอร์ส” ปรับใหญ่ “สาทรสแควร์-ปาร์คเวนเชอร์” อัปเกรดเพื่อยื้อผู้เช่าในตลาด “ออฟฟิศ” สุดเดือด https://positioningmag.com/1485297 Tue, 06 Aug 2024 08:33:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1485297 ผู้เล่นในกลุ่มออฟฟิศเกรดเอ “เฟรเซอร์ส” ปรับปรุงใหญ่ “สาทรสแควร์–ปาร์คเวนเชอร์” เพิ่มเทคโนโลยีใหม่เพียบเพื่อสู้กับการแข่งขันในตลาดอาคารสำนักงานสุดเดือด ซัพพลายเตรียมทะลัก 1.6 ล้านตร.ม.ในอีก 3 ปีข้างหน้า วางเป้าหมายคงอัตราการเช่าของทั้งพอร์ตให้ไม่ต่ำกว่า 90%

“วิทวัส คุตตะเทพ” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) หรือ FPT เปิดเผยว่า บริษัทมีการจัดตั้งโครงการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative: AEI) ของอาคาร “สาทรสแควร์” และ “ปาร์คเวนเชอร์” ขึ้นเพื่ออัปเกรดให้ทั้งสองอาคารที่เปิดใช้มานาน 14 ปีมีความทันสมัยแข่งขันได้ในตลาดอาคารสำนักงาน

เฟรเซอร์ส ออฟฟิศ
ล็อบบี้แบบใหม่ใน “สาทรสแควร์” มาในธีม Neo-Vibrant สดใสกระฉับกระเฉงขึ้น

โดยทั้งสาทรสแควร์และปาร์คเวนเชอร์อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) ทางกองรีทวางงบลงทุน 200 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงใหญ่อาคารสำนักงานทั้งสองแห่ง ด้วยกลยุทธ์ 5 มิติที่มีการอัปเกรด ดังนี้

1.Smart Technology

  • ปรับระบบควบคุมเข้าออกอาคารเป็นการสแกนใบหน้า (Face Recognition) หรือสแกน QR CODE
  • เพิ่ม Kiosk สำหรับแลกบัตรด้วยตนเอง
  • เปลี่ยนการจัดการเข้าออกของรถยนต์เป็นการอ่านป้ายทะเบียนอัตโนมัติ (License Plate Recognition) และสามารถชำระค่าจอดรถได้ผ่าน Mobile Payment
  • เพิ่มจุดให้บริการ EV Charger
  • สร้างแอปพลิเคชันสำหรับผู้เช่า เพื่อให้การแจ้งซ่อมและสร้าง QR CODE เข้าออกอาคารให้กับผู้มาเยือนทำได้สะดวกขึ้น
Kiosk สแกนบัตรเพื่อสร้าง QR CODE เข้าออกอาคารด้วยตนเอง

2. Sustainability Excellence นำระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System: BMS) มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมงานวิศวกรรมและจัดการพลังงาน

3. Superb Well-being

  • ติดตั้งระบบเครื่องปรับอากาศพร้อมกรองฝุ่น PM 2.5
  • ติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศในอาคาร (IAQ) ตรวจได้ทั้งฝุ่น PM 2.5 และระดับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)
  • เพิ่มร้านค้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ เช่น ร้านอาหารสุขภาพ คลินิกความงาม คลินิกกายภาพ รูฟท็อปบาร์

4. Support Tenant Centricity จัดกิจกรรมสัมพันธ์กับผู้เช่าอย่างต่อเนื่อง เช่น กิจกรรมบริจาคเลือด เต้นซุมบ้า แข่งวิ่งขึ้นตึก

5. Spectacular Design สำหรับสาทรสแควร์มีการปรับล็อบบี้โฉมใหม่ในธีม “Neo-Vibrant” เปลี่ยนผนังให้สดใส กระฉับกระเฉง และติดตั้งจอ LED พร้อมลำโพงเพื่อใช้เปลี่ยนภาพเคลื่อนไหวในล็อบบี้ได้ตามต้องการ

จอ LED พร้อมลำโพง สร้างภาพเคลื่อนไหวบริเวณล็อบบี้ ใช้ทำแคมเปญ อีเวนต์ ประชาสัมพันธ์ได้

การปรับปรุงตามโครงการ AEI ที่สาทรสแควร์มีการปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนอาคารปาร์คเวนเชอร์คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2567

 

เป้าหมายเพื่อ “รักษาผู้เช่า”

วิทวัสกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ต้องมีการปรับปรุงอาคาร เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่เพื่อขึ้นราคาเช่า แต่เพื่อ “รักษาผู้เช่า” ไว้ให้ได้มากที่สุด ทั้งผู้เช่าเดิมของอาคารและการแข่งขันเซ็นสัญญาผู้เช่าใหม่

เนื่องจากสภาวะตลาดอาคารสำนักงานกรุงเทพฯ เริ่มเข้าสู่ช่วงโอเวอร์ซัพพลาย พื้นที่เช่าในตลาดปัจจุบันมีอยู่ 9.61 ล้านตารางเมตร และมีอัตราการเช่าเฉลี่ยเพียง 82% และในอนาคตจะมีการเติมซัพพลายเข้ามาอีกถึง 1.6 ล้านตารางเมตรภายใน 3 ปีข้างหน้า

ขณะเดียวกันบางอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงที่ต้อง ‘รัดเข็มขัด’ จากสภาวะเศรษฐกิจ จึงมีการลดขนาดสำนักงานลง ดีมานด์ในตลาดจึงไม่ได้เติบโตทันกับซัพพลาย ผู้เล่นเดิมในตลาดออฟฟิศจึงต้องดูแลปรับปรุงอาคารเพื่อให้แข่งขันได้กับอาคารระดับ “เกรดเอ+” ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยใหม่ล่าสุด

เฟรเซอร์ส ออฟฟิศ
“วิทวัส คุตตะเทพ” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย)

สำหรับเฟรเซอร์สเองมีอาคารสำนักงานในพอร์ต 5 แห่ง ได้แก่ สาทรสแควร์, ปาร์คเวนเชอร์, เอฟวายไอ เซ็นเตอร์, มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ และ สีลมเอจ โดยมีค่าเฉลี่ยอัตราการเช่าทั้งพอร์ตอยู่ที่ 90%

“บางคนถามว่าอัตราเช่าก็ยังดีอยู่ ทำได้ดีกว่าตลาด แล้วจะปรับปรุงไปทำไม แต่เรากลับมองว่าถ้าไม่ทำตอนนี้อัตราการเช่าอาจจะตกลงอีก” วิทวัสกล่าว

ดัชนีชี้วัดหลังการอัปเกรดใหญ่ครั้งนี้จึงไม่ใช่การดีดราคาค่าเช่า แต่ต้องทำให้อัตราการเช่ายังมีเลข ‘9’ นำหน้าในอนาคต

  • “วัน แบงค็อก” เปิดออฟฟิศตึกแรกแล้ว! พื้นที่ “รีเทล” แกรนด์โอเพนนิ่งเดือนตุลาฯ ชูจุดเด่น “ช้อปปิ้ง สตรีท”
  • “Central Park Offices” แห่ง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ใช้จุดขาย “ออฟฟิศติดห้างฯ” ลงแข่งศึกอาคารสำนักงาน

ที่ผ่านมาก่อนเกิดวิกฤตซัพพลาย ตลาดออฟฟิศเป็นตลาดที่ทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ อัตราการเช่าของพอร์ตสำนักงานของเฟรเซอร์เคยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 95% บางตึกเรียกได้ว่าเต็ม 100% อัตราเช่าที่ลดลงมานี้จึงทำให้บริษัทตื่นตัวในการปรับปรุงอาคาร

“อาคารที่สร้างมาก่อนแบบเราต้องชูเรื่องโลเคชั่นที่ดีกว่า และเน้นเรื่องคาแรกเตอร์ของตึกและการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้เช่า” วิทวัสกล่าว “ปกติแล้วลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากย้ายออกเพราะการย้ายที่ใหม่จะต้องลงทุนตกแต่งสำนักงานใหม่หมด อย่างของเราอัตราการต่อสัญญาจะอยู่ที่ 80-90% แต่ถ้าเราไปปล่อยให้ตึกเก่าหรือเทคโนโลยีล้าหลัง ลูกค้าเขาก็ไม่อยากต่อสัญญาเหมือนกัน”

]]>
1485297
“Central Park Offices” แห่ง “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ใช้จุดขาย “ออฟฟิศติดห้างฯ” ลงแข่งศึกอาคารสำนักงาน https://positioningmag.com/1475693 Wed, 29 May 2024 08:47:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1475693 “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ทยอยเปิดรายละเอียดแต่ละตึกภายในโครงการมิกซ์ยูสทำเลทองหัวมุมสีลม–พระราม 4 โดยตึกสุดท้ายที่เปิดข้อมูลภายในคือ “Central Park Offices” อาคารสำนักงานที่จะใช้จุดขายด้านความเชี่ยวชาญการทำ “ออฟฟิศติดห้างฯ” ของ CPN เป็นจุดดึงดูด คาดมียอดจองทำสัญญา 20-40% ภายในสิ้นปีนี้ ก่อนตึกสร้างเสร็จราวไตรมาส 3/2568

บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เริ่มเปิดข้อมูลตึก “Central Park Offices” อาคารสำนักงานภายในโครงการมิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่าโครงการ 46,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 23 ไร่ หัวมุมแยกถ.สีลม ตัด ถ.พระราม 4 หลังจากเปิดให้ผู้เช่าที่สนใจเข้าชมสำนักงานขายและทำสัญญาจองได้แล้ว

Central Park Offices ก่อสร้างเป็นออฟฟิศสูง 43 ชั้น พื้นที่อาคาร 130,000 ตร.ม. (*เฉพาะพื้นที่เช่า 60,000 ตร.ม.) หากมองจากแปลนโครงการรวม จะเป็นตึกสีเงินด้านขวามือของภาพ

ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

อาคารนี้มุ่งเป้าตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน โดยตั้งเป้าการก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน LEED Gold, WELL Platinum และ Wired Score Gold มีองค์ประกอบด้านต่างๆ ในอาคาร เช่น ใช้กระจกลดการสะท้อนแสง ระบบกรองและควบคุมคุณภาพอากาศ ระบบควบคุมการใช้พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ซึ่งทั้งหมดนี้จะสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทผู้เช่ายุคใหม่ที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ตึกออฟฟิศที่เป็นอาคารเขียวจะได้เปรียบมากกว่าในการเจรจาหาผู้เช่า

ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกของออฟฟิศ เนื่องจากออฟฟิศนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูสทำให้จะได้ประโยชน์จากการเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศของโครงการ

Central Park Offices

 

ผลงาน “CPN” รับประกันไลฟ์สไตล์ “ออฟฟิศติดห้างฯ”

จุดขายเด่นๆ ของอาคาร Central Park Offices คือ “ทำเล” และ “ไลฟ์สไตล์”

เพราะทำเลโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค อยู่ในจุดที่เชื่อมต่อได้ทั้งสถานี BTS ศาลาแดง และสถานี MRT สีลม สะดวกกับมนุษย์ออฟฟิศที่ใช้ขนส่งมวลชนทั้งสองเส้นทาง

Central Park Offices
ภาพจำลอง Rooftop Bar บนชั้น 43

ขณะที่ไลฟ์สไตล์ก็ไม่ต้องกังวล เพราะอาคารสำนักงานนี้เชื่อมต่อกับโซนศูนย์การค้า “Central Park” ของโครงการ รวมถึงจะมี “Rooftop Bar” เปิดบนชั้น 43 ของตัวอาคารเอง ทำให้มีร้านอาหารและร้านค้าไว้รองรับ

ส่วนพื้นที่กลางแจ้งก็มีพร้อมเช่นกัน เพราะดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค สร้างสวนขนาด 7 ไร่ไว้บนรูฟท็อปของอาคารศูนย์การค้า มีลู่วิ่งยาว 750 เมตร และฝั่งตรงข้ามโครงการเป็นสวนลุมพินี สามารถใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เดินวิ่งออกกำลังกายได้

Central Park Offices
ออฟฟิศเห็นวิวสวนลุมพินี

พนักงานจึงไม่ต้องกังวลเรื่องกิน ดื่ม ช้อป พบปะสังสรรค์ ออกกำลังกาย สามารถใช้ชีวิตเบ็ดเสร็จในโครงการนี้ได้เลยตั้งแต่เช้าถึงดึก

ไลฟ์สไตล์แบบมีออฟฟิศอยู่ติดห้างฯ แบบนี้ถือเป็นเอกลักษณ์การพัฒนาโครงการของ CPN โดย “นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์” Chief Finance, Accounting and Risk Management Officer บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ระบุว่า CPN มีการพัฒนาหรือบริหารอาคารสำนักงานรวม 10 แห่งในพอร์ต คิดเป็นพื้นที่เช่ารวมกว่า 350,000 ตร.ม. สร้างรายได้ปีละกว่า 3,000 ล้านบาทจากการบริหารออฟฟิศให้เช่า

ภาพจำลองล็อบบี้โถงอาคาร Central Park Offices

CPN ยังมีประสบการณ์ยาวนานในการบริหารตึกออฟฟิศที่เชื่อมต่อโดยตรงเป็นเนื้อเดียวกับพื้นที่รีเทล เริ่มตั้งแต่แห่งแรกที่ “เซ็นทรัล ทาวเวอร์ ลาดพร้าว” และทุกแห่งที่ CPN บริหารล้วนเป็นออฟฟิศที่เชื่อมต่อกับรีเทลทั้งหมด

ปัจจุบันอาคารสำนักงานทุกแห่งของ CPN มีอัตราการเช่าเฉลี่ยกว่า 90% และผลงานที่โดดเด่นที่สุดคือ “centralwOrld Offices” ซึ่งเชื่อมต่อกับเซ็นทรัลเวิลด์ มีอัตราการเช่ามากกว่า 95% มาตลอดเกือบ 20 ปีที่เปิดบริการ รวมถึงมีผู้เช่าสัดส่วนกว่า 75% ที่เป็นบริษัทข้ามชาติ สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารจัดการของบริษัทได้รับความเชื่อถือจากผู้เช่าต่างชาติ

 

คาดมีผู้เช่าจองพื้นที่ 20-40% ในสิ้นปีนี้

นภารัตน์กล่าวต่อว่า ด้านราคาค่าเช่ายังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าหลายราย แต่ราคาจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอาคารสำนักงานเกรดเอในทำเลใกล้เคียงกัน และราคามากกว่า 1,000 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือนแน่นอน เพราะเป็นพื้นที่เช่าในไพรม์โลเคชั่น

ทีมผู้บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา : (ซ้าย) “คุณายุทธ เดชอุดม” Head of Business Development Strategy และ (ขวา) “นภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์” Chief Finance, Accounting and Risk Management Officer

โดย CPN คาดว่าภายในสิ้นปีนี้น่าจะได้ยอดจองเข้ามา 20-40% ยังไม่เร่งมากนักเพราะอาคารจะสร้างเสร็จช่วงไตรมาส 3/2568 ทำให้การปิดการขายส่วนใหญ่น่าจะเกิดขึ้นในปีหน้า

  • วิกฤตจริง! “ออฟฟิศ” ให้เช่าปี 2567 “ล้นตลาด” ไนท์แฟรงค์แนะอาคารสำนักงานเก่าต้อง “รีโนเวต” ยื้อลูกค้า
  • “วัน แบงค็อก” เปิดออฟฟิศตึกแรกแล้ว! พื้นที่ “รีเทล” แกรนด์โอเพนนิ่งเดือนตุลาฯ ชูจุดเด่น “ช้อปปิ้ง สตรีท”

ด้าน “คุณายุทธ เดชอุดม” Head of Business Development Strategy บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า แม้ขณะนี้กรุงเทพฯ มีประเด็นซัพพลายออฟฟิศในภาพรวมกำลังล้นตลาด แต่อาคารสำนักงานเกรดเอในทำเลใจกลางเมืองที่มีคุณภาพระดับสากล (world class) ไม่ได้มีมากนัก

ด้วยความสัมพันธ์กับคู่ค้าที่มีมานานของ CPN บวกกับเอกลักษณ์เรื่องการให้ไลฟ์สไตล์ที่มาพร้อมกันทั้งโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค คุณายุทธเชื่อว่าจะทำให้ Central Park Offices แข่งขันในตลาดได้ไม่ยาก

]]>
1475693
วิกฤตจริง! “ออฟฟิศ” ให้เช่าปี 2567 “ล้นตลาด” ไนท์แฟรงค์แนะอาคารสำนักงานเก่าต้อง “รีโนเวต” ยื้อลูกค้า https://positioningmag.com/1462516 Tue, 13 Feb 2024 06:08:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1462516 สัญญาณเตือนตลาด “ออฟฟิศ” เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่สิ้นปี 2563 เมื่ออัตราการเช่าพื้นที่ร่วงลงต่ำกว่า 90% และยังทรุดจนถึงปี 2567 “ไนท์แฟรงค์” ฟันธงปีนี้วิกฤตของจริง จากซัพพลายใหม่ที่จะโถมเข้าตลาดถึง 650,000 ตร.ม. จับตา “วัน แบงค็อก” ดึงลูกค้าย้ายตึก แนะนำอาคารสำนักงานเก่าเกรดบีและเกรดซีควร “รีโนเวต” ใหญ่เพื่อยื้อลูกค้าเก่าเช่าต่อเนื่อง

“ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย” บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ออกรายงานวิจัยตลาด “ออฟฟิศ” ในกรุงเทพฯ พบว่าในปี 2566 มีซัพพลายออฟฟิศสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นอีก 300,000 ตร.ม. ถือว่าเป็นสถิติที่สูงมากและทำให้เกิดภาวะ ‘ดีมานด์โตไม่ทันซัพพลาย’ ส่งผลต่ออัตราการเช่าพื้นที่และราคาค่าเช่า

ออฟฟิศ

ณ ไตรมาส 4 ปี 2566 ตลาดอาคารสำนักงานมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยเพียง 78% ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 1.9% pts แม้แต่ตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอยังได้รับผลกระทบจากภาวะซัพพลายล้นตลาด โดยปี 2566 ออฟฟิศเกรดเอมีอัตราการเช่าพื้นที่เพียง 81% ลดลงแรงถึง 6.6% pts จากปีก่อนหน้า

ด้านค่าเช่าตลาดอาคารสำนักงานปี 2566 เฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ 816 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้นเพียง 0.7% จากปีก่อนหน้า เทียบกับค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ตลาดออฟฟิศมักจะขึ้นค่าเช่าได้ปีละ 3.1% เห็นได้ว่าการขึ้นค่าเช่าชะลอตัวลงมากจากภาวะซัพพลายสูงกว่าดีมานด์

 

ซัพพลายทะลักอีก 650,000 ตร.ม. จับตา “วัน แบงค็อก”

ปีที่แล้วถือว่าซัพพลายเข้าตลาดสูง แต่ปี 2567 จะสูงยิ่งกว่า โดยไนท์แฟรงค์ประเมินว่าปีนี้จะมีซัพพลายพื้นที่สำนักงานสร้างเสร็จอีก 650,000 ตร.ม. มากกว่าซัพพลายของปีก่อนเกินเท่าตัว

โดยธรรมชาติของผู้เช่าอาคารมักจะพิจารณาย้ายไปยังตึกใหม่ที่มีองค์ประกอบและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีขึ้น เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบลิฟต์ องค์ประกอบเป็นอาคารเขียวรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น การมีซัพพลายใหม่ในตลาดเพิ่มสูงขึ้นมากในภาวะที่ดีมานด์ใหม่ไม่ได้สูงตาม จึงสะเทือนอาคารสำนักงานเก่าที่ต้องรักษาลูกค้าไว้ให้ได้

“ซัพพลายใหม่ทำให้อัตราการเช่าของหลายตึกออฟฟิศตกลงเหลือไม่ถึง 90% สภาวะไม่เหมือนที่เคยเป็นมา ทุกวันนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้เช่าหมดสัญญา ทางเจ้าของตึกต้องทำทุกทางเพื่อดึงไว้ให้ได้ ส่วนการหาผู้เช่าใหม่ยิ่งต้องแข่งขันชนิดที่มีคนพูดกันว่า ‘ขอแค่เดินย่างเท้าเข้ามา ถ้าให้ราคาไม่น่าเกลียดมากก็ขอให้รีบเซ็นสัญญารับลูกค้าไว้’” ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกอาคารสำนักงาน ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย กล่าว

ออฟฟิศ
อาคารสำนักงาน Tower 4 และ Tower 3 ในโครงการวัน แบงค็อก

หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในกลุ่มอาคารสำนักงานที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาดคือ “วัน แบงค็อก” ด้วยการสร้างโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ในทำเลติดรถไฟฟ้าและสวนสาธารณะลุมพินี ทำให้ผู้เช่าหลายรายสนใจ โดยช่วงกลางปีนี้ วัน แบงค็อกจะประเดิมเปิดตึกแรก ‘Tower 4’ ที่มีพื้นที่เช่า 96,000 ตร.ม. ปัจจุบันตึกดังกล่าวทำสัญญาเช่าได้แล้ว 60-70%

“ตลาดออฟฟิศแข่งกันสูงมาก แม้แต่ในกลุ่มตึกเกรดเอยังมีการให้ส่วนลดจากราคาตั้งไป 5-10% หรือให้โปรโมชันหนัก เช่น ฟรีค่าเช่ากันเกือบ 1 ปีก็มีแล้ว” ปัญญากล่าว

 

เกรดบี-เกรดซีต้อง “รีโนเวต”

ปกติตลาดออฟฟิศเกรดเอจะเป็นตลาดที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถเรียกค่าเช่าได้สูง และมีอัตราการเช่าสูงเกิน 90% มาตลอด แต่ในภาวะตลาดซัพพลายล้นถึงขนาดที่ออฟฟิศเกรดเอยังสะเทือน ออฟฟิศเกรดบีและซีจะทำอย่างไร?

ตลาดเกรดบีและซีส่วนใหญ่มักจะเป็นตึกเก่า บางอาคารมีอายุเกิน 30 ปี ปัญญามองว่าตึกเหล่านี้ยังมีทางรอดแต่ต้องมีการลงทุนรีโนเวตให้เข้ากับเทรนด์ความต้องการสมัยใหม่ เช่น เปลี่ยนระบบลิฟต์ให้ทันสมัย มีสกายวอล์กเพื่อเชื่อมต่อสู่สถานีรถไฟฟ้า ปรับปรุงระบบปรับอากาศ เพิ่มระบบไฟฟ้าให้สว่างมากขึ้น ตกแต่งล็อบบี้ให้เข้ากับยุค ปรับเปลี่ยนพื้นที่บางส่วนเป็นร้านค้า-ฟิตเนส-สถานที่แฮงเอาต์เพื่อตอบโจทย์คนยุคใหม่ เพิ่มฟังก์ชันด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

“การพัฒนาเหล่านี้ประเด็นหลักคือทำเพื่อให้ลูกค้าเก่ายังต่อสัญญา การหาลูกค้าใหม่ในเวลานี้ยังเป็นเรื่องรอง” ปัญญาระบุ “การลงทุนรีโนเวตครั้งนี้คือการ ‘reborn’ ทำให้ตึกได้เกิดใหม่อีกครั้ง”

  • “วัน แบงค็อก” เคาะเปิด “ออฟฟิศ” อาคารแรกกลางปี 2567 พร้อมโชว์ศักยภาพ “สมาร์ท ซิตี้” ระดับโลก
  • พรีวิวคอนเซ็ปต์ “Central Park” ส่วนรีเทลและออฟฟิศใน “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” แลนด์มาร์กใหม่กรุงเทพฯ

ปัญญาชี้ให้เห็นด้วยว่าในตลาดไม่ได้มีแค่ลูกค้ากลุ่มที่ต้องการเช่าแต่ตึกเกรดเอ ยังมีลูกค้ามากมายที่ต้องการเช่าตึกเกรดบีและซีเพราะราคาที่ถูกกว่าตึกเกรดเอ เหมาะกับกลุ่มบริษัทขนาดกลางถึงเล็กที่ต้องใช้จ่ายอย่างเหมาะสม แต่พวกเขาเองก็ต้องการตึกที่มีฟาซิลิตี้พร้อมเช่นกัน เพื่อดึงดูดให้คนทำงานต้องการมาร่วมงานกับบริษัท

จากการประเมินของไนท์แฟรงค์ รอบปี 2565-2571 จะมีซัพพลายอาคารสำนักงานเข้าตลาดรวมถึง 1.5 ล้านตร.ม. เห็นได้ว่าตลาดออฟฟิศน่าจะยังต้องแข่งขันกันดุเดือดไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปีแน่นอน

]]>
1462516
“เดอะ เกรท รูม” ขยายสาขา 2 ที่ “พาร์ค สีลม” ชูโมเดลธุรกิจ “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” ร่วมทุนเจ้าของอาคาร https://positioningmag.com/1450927 Tue, 07 Nov 2023 09:33:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1450927
  • “เดอะ เกรท รูม” (The Great Room) ขยายสาขาสองในไทยที่ “พาร์ค สีลม” โดยเป็นการร่วมทุนกับ “นายณ์ เอสเตท” และ “ไมเนอร์” บริษัทเจ้าของอาคาร ชูโมเดลธุรกิจนี้แข็งแรงและยั่งยืนกว่าในการพัฒนา “โคเวิร์กกิ้งสเปซ”
  • ชี้โอกาสในตลาดไทยยังมีอีกมาก เพราะออฟฟิศแบบยืดหยุ่นยังมีเพียง 1.5% ของตลาดรวม
  • “เดอะ เกรท รูม” (The Great Room) ประกาศเปิดตัวสาขาที่สองในไทยที่อาคาร “พาร์ค สีลม” โดยใช้พื้นที่รวม 3,500 ตารางเมตรบนชั้น 29-30 ของอาคารพาร์ค สีลม เริ่มให้บริการเดือนสิงหาคม 2566 หลังจากเปิดสาขาแรกที่อาคาร เกษร ทาวเวอร์ มาตั้งแต่ปี 2561

    แบรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซแห่งนี้ก่อตั้งครั้งแรกในสิงคโปร์ ก่อนที่บริษัท Industrious จากสหรัฐฯ (มีบริษัท CBRE เป็นผู้สนับสนุนการลงทุน) จะเข้าเทกโอเวอร์ เดอะ เกรท รูม ไปเมื่อปี 2565

    ปัจจุบันเดอะ เกรท รูม ขยายไป 10 สาขาใน 3 เขตการปกครอง ได้แก่ 6 สาขาในสิงคโปร์, 2 สาขาในฮ่องกง และ 2 สาขาในไทย และเตรียมเปิดตัวสาขาที่ 11 ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ภายในปี 2567 ตามแผนการขยายตัวในเอเชียแปซิฟิกของบริษัท

     

    “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” ระดับพรีเมียม หรูสุดในตลาด

    เดอะ เกรท รูม
    บรรยากาศโซน The Drawing Room สามารถมานั่งจิบกาแฟพูดคุยธุรกิจกันได้

    ภายในตลาดที่แข่งขันสูงของธุรกิจ “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” เดอะ เกรท รูมวางตำแหน่งทางการตลาดของตัวเองไว้ในกลุ่มพรีเมียม วัดได้จาก “ราคา” ที่สูงกว่าคู่แข่งมาก

    เปรียบเทียบราคา ‘Hot Desk’ หรือการสมัครสมาชิกเพื่อเข้ามาใช้งานส่วนตัวโดยไม่มีที่นั่งประจำ “เดอะ เกรท รูม” คิดราคา 8,000 บาทต่อเดือน เทียบกับ “จัสโค” คิดเพียง 5,200 บาทต่อเดือน หรือ “SPACES” ยิ่งถูกลงมาเหลือ 2,050 บาทต่อเดือนเท่านั้น

    เดอะ เกรท รูม

    “ซู แอน มี” ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ The Great Room ชูจุดขายของแบรนด์ที่ทำให้พรีเมียมกว่า มาจากการเลือกโลเคชันใจกลางเมือง และเลือกอาคารเกรดเอเท่านั้น

    ตามด้วยการตกแต่งภายใน ดีไซน์แตกต่างจากที่อื่นด้วยสไตล์ลักชัวรี มีระดับ ให้ความเป็นผู้ใหญ่ ได้ฟีลลิ่งเหมือนเดินเข้ามาในเลาจน์ของโรงแรมระดับ 5 ดาว

    ปิดท้ายด้วยการบริการภายในด้วยฮอสพิทาลิตี้แบบโรงแรม และสำหรับสาขาใหม่นี้มีการดึง “Sarnies” คาเฟ่ชื่อดังเข้ามาเปิดสาขาบริการเครื่องดื่ม เบเกอรี และอาหารด้วย

    เดอะ เกรท รูม
    ห้องประชุมวิวตึกมหานคร

    “สิลีน เดมีร์” ผู้จัดการทั่วไป  เดอะ เกรท รูม กรุงเทพฯ ระบุว่าความแตกต่างในตลาดทำให้สาขาแรกที่เกษร ทาวเวอร์ ในส่วนพื้นที่ออฟฟิศส่วนตัว (Dedicated Offices) มีอัตราการเช่า 90-92% มาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยได้ผู้เช่าส่วนใหญ่จากกลุ่มแบรนด์สินค้าลักชัวรี และมีสมาชิก Hot Desk จากสาขานี้ 50 ราย

    ด้วยผลตอบรับที่ดีหลังผ่านช่วงโควิด-19 ทำให้บริษัทมองหาที่ตั้งสาขาต่อไป ก่อนจะมาจับมือเป็นพันธมิตรกับอาคารพาร์ค สีลม

    สิลีนกล่าวว่าเดอะ เกรท รูมสาขาใหม่ที่พาร์ค สีลม ปัจจุบันพื้นที่ออฟฟิศส่วนตัวมีการเช่าแล้ว 40% และวางเป้ามีอัตราเช่า 75% ภายในปี 2567 ส่วนใหญ่ในสาขานี้จะได้ผู้เช่าเป็นออฟฟิศ spin-off ของบริษัทใหญ่กลุ่มบริษัทยา, เวนเจอร์แคปปิตอล และเทคโนโลยี

     

    “ร่วมทุน” เพื่อให้ธุรกิจแข็งแรงกว่า

    สำหรับสาขาสองนี้ เดอะ เกรท รูม ใช้กลยุทธ์ร่วมทุนกับ “แลนด์ลอร์ด” เจ้าของอาคาร คือ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด และ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) โดยไม่เปิดเผยอัตราส่วนการร่วมทุน

    ถือเป็นกลยุทธ์ที่ต่างจากโคเวิร์กกิ้งสเปซทั่วไปที่มักจะทำสัญญาเช่าอาคารไปตามปกติ และนำมาปล่อยเช่าช่วงตามแนวทางธุรกิจของตนเอง แต่เดอะ เกรท รูม เลือกเฟ้นหาแลนด์ลอร์ดที่พร้อมจะร่วมลงทุน

    (จากซ้าย) สิลีน เดมีร์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ เกรท รูม กรุงเทพฯ, สุธี ลิมปนชัยพรกุล ประธานอำนวยการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด และ ซู แอน มี ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ The Great Room

    “กลยุทธ์นี้เราจะทำต่อในสาขาต่อๆ ไปด้วย เพราะเราต้องการให้เดอะ เกรท รูมเป็นบริการที่มีให้กับผู้เช่าทั้งตึก ไม่ใช่เฉพาะสมาชิกของเรา ดังนั้น เราต้องมีการทำงานร่วมกันกับแลนด์ลอร์ด มองเห็นเป้าหมายเดียวกัน วิสัยทัศน์เดียวกัน ได้ประโยชน์ร่วมกัน” สิลีนกล่าว

    สิลีนยกตัวอย่างเดอะ เกรท รูมที่พาร์ค สีลม บนชั้น 29 จะถือเป็น ‘Amenities Floor’ สำหรับคนทั้งอาคาร เพราะผู้เช่าทุกรายในอาคารสามารถพาแขกของบริษัทมาแวะทานกาแฟที่ Sarnies พุดคุยธุรกิจในบรรยากาศสบายๆ หรือมาจองใช้ห้องประชุม/พื้นที่จัดอีเวนต์ที่รองรับได้สูงสุด 120 คน รวมถึงมาร่วมงานอีเวนต์ของทางเดอะ เกรท รูมได้

    การเปิดพื้นที่ของโคเวิร์กกิ้งสเปซให้คนทั้งอาคาร ไม่ใช่แค่ที่ปิดเฉพาะสมาชิก จะทำให้ผู้เช่าทั้งอาคารของแลนด์ลอร์ดได้ประโยชน์ในการใช้งาน และโคเวิร์กกิ้งสเปซก็ได้คุณค่ามากขึ้น เพราะเปิดให้การสร้างเครือข่าย (networking) กว้างขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการทำงานใกล้ชิดกับแลนด์ลอร์ด และดีที่สุดคือต้องร่วมทุนกันเพื่อแบ่งรายได้

    ตัวอย่างบรรยากาศอีเวนต์เวิร์กช็อประบายสีน้ำจากเดอะ เกรท รูมสาขาเกษร ทาวเวอร์

    ปัจจุบันเดอะ เกรท รูมในไทยกำลังมองหาทำเลสาขาต่อๆ ไปและมีการพูดคุยกับเจ้าของอาคารหลายราย

    “สมัยก่อนสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานในตึกต่างๆ ก็มักจะเป็นฟิตเนสหรือสวนสาธารณะ แต่ในสมัยนี้เราต้องสื่อสารกับแลนด์ลอร์ดให้ได้ว่า เราก็เปรียบเหมือนสิ่งอำนวยความสะดวกของอาคารอย่างหนึ่ง และการมีเราจะช่วยให้มีจำนวนคนเข้าออก (footfall) เยอะขึ้น รวมถึงสตาร์ทอัพหรือบริษัทขนาดเล็กหลายรายมาเริ่มตั้งสำนักงานกับเรา แต่เมื่อเขาโตขึ้นจนต้องการออฟฟิศแบบดั้งเดิม เขาก็มักจะเลือกอยู่ในอาคารเดิมนี่แหละ ซึ่งแลนด์ลอร์ดจะได้ประโยชน์ในอนาคต” ซู แอน กล่าวเสริม

    • ลือ ‘WeWork’ เตรียมยื่น ‘ล้มละลาย’ ในสัปดาห์หน้า
    • มองแบบ “JustCo” ทำโคเวิร์กกิ้งสเปซเจาะลูกค้าองค์กรใหญ่ รับเทรนด์สังคมออฟฟิศเปิดกว้าง

     

    “กรุงเทพฯ” ยังขยายได้อีกมาก

    ซู แอนกล่าวเพิ่มถึงภาพรวมในตลาด “โคเวิร์กกิ้งสเปซ” ในเอเชียแปซิฟิก (APAC) เธอระบุว่าเทรนด์ยังเป็นขาขึ้น เพราะในฝั่งดีมานด์นั้นมีบริษัทที่หันมาใช้ออฟฟิศแบบยืดหยุ่น (Flexible Offices) แล้ว 48% และมีบริษัท 52% ที่ต้องการจะเพิ่มปริมาณการใช้ออฟฟิศแบบยืดหยุ่น สะท้อนว่ายังมีความต้องการในอนาคต

    ส่วนฝั่งซัพพลายนั้น พบว่ามีเพียง 4% ในตลาดสำนักงานให้เช่าของ APAC ที่เป็นออฟฟิศแบบยืดหยุ่น เฉพาะของไทยยิ่งน้อยลงไปอีกเพราะมีเพียง 1.5%

    นั่นทำให้ซู แอนเชื่อว่า ตลาดไทยยังมีโอกาสอีกมาก เฉพาะแบรนด์เดอะ เกรท รูม เธอเชื่อว่าบริษัทสามารถขยายตัวในกรุงเทพฯ ได้อีกอย่างน้อย 10 สาขา!

    “จริงๆ แล้วโอกาสของโคเวิร์กกิ้งสเปซหลังผ่านโควิด-19 นั้นอยู่ในฝั่งเอเชียมากกว่า เพราะวัฒนธรรมบริษัทฝั่งเอเชียนิยมกลับเข้าออฟฟิศมากกว่าฝั่งตะวันตก” ซู แอนกล่าว “ในตะวันตกตอนนี้ยังเข้าออฟฟิศแค่ 50% ของชั่วโมงทำงาน แต่เอเชียเข้ากัน 65% ของชั่วโมงทำงาน และเราเชื่อว่าปี 2567 ตัวเลขของฝั่งเอเชียจะเพิ่มเป็น 75% และการใช้งานออฟฟิศที่สูงกว่าเป็นโอกาสของเดอะ เกรท รูมด้วยเช่นกัน”

    ]]>
    1450927
    สหรัฐฯ เผชิญปัญหา “ออฟฟิศ” ร้างผู้เช่า อัตราเช่าสำนักงานดิ่งต่ำกว่ายุควิกฤตแฮมเบอร์เกอร์แล้ว https://positioningmag.com/1444466 Sat, 16 Sep 2023 03:14:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444466 วิกฤตภาคอสังหาฯ เพื่อเช่าโดยเฉพาะ “ออฟฟิศ” ของสหรัฐฯ อยู่ในจุดที่สาหัสกว่าช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 แล้ว โดยอัตราพื้นที่ว่างของสำนักงานขึ้นไปแตะที่ 16.4% คาดเป็นผลมาจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเทรนด์ทำงานจากบ้าน (Work from Home)

    Colliers บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน ประเมินอัตราพื้นที่ว่างของอาคารสำนักงานในสหรัฐฯ ว่าขึ้นไปแตะ 16.4% แล้ว ซึ่งถือเป็นสถิติ ‘นิวไฮ’ แซงหน้าอัตราสูงสุด 16.3% ที่เคยเกิดขึ้นช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เมื่อ 15 ปีก่อน

    “พื้นฐานตลาดออฟฟิศของสหรัฐฯ กำลังอ่อนตัวลง เริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2022 เรื่อยมาจนถึงไตรมาส 2 ปี 2023 จนทำให้ภาพรวมอัตราดูดซับพื้นที่เช่าออฟฟิศกลายเป็น ‘ติดลบ’ และอัตราพื้นที่ว่างในอาคารสำนักงานพุ่งขึ้นเป็นสถิติใหม่” Stephen Newbold ผู้อำนวยการประจำประเทศฝ่ายวิจัยอาคารสำนักงาน Colliers แสดงความเห็นในรายงาน

    ตั้งแต่ต้นปี 2023 อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยสูง เทรนดทำงานจากบ้าน (Work from Home) และความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น

    “อัตราพื้นที่ว่างในออฟฟิศสหรัฐฯ ขณะนี้อยู่ที่ 16.4% เพิ่มขึ้นมา 30 basis points จากไตรมาสแรก” Newbold ระบุ และคาดว่าความกดดันเหล่านี้จะทำให้อัตราพื้นที่ว่างยิ่งเพิ่มขึ้นอีกในระยะต่อไป

    ทำเลที่ถือว่ามีอัตราพื้นที่ว่างในออฟฟิศสูงสุด ได้แก่ ฮูสตัน รัฐเท็กซัส, อินเดียนาโพลิส รัฐอินเดียนา และ ปริมณฑลของลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย

    ออฟฟิศ
    เมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส (Photo: Shutterstock)

    การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วรวม 500 basis points ในช่วง 6 ไตรมาสที่ผ่านมาเพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อนั้น มีผลกระทบกับภาคอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์มาก

    ในทศวรรษที่ผ่านมา เจ้าของอาคารสำนักงานเหล่านี้สามารถขอเงินกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำมาตลอด แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยขยับขึ้น ทำให้อัตราหนี้สินสูงขึ้นด้วย

    • เปลี่ยน “ออฟฟิศร้าง” เป็น “ที่พักอาศัย” ข้อเสนอเพื่อแก้วิกฤตสองด้านในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ
    • กลับลำ! ซีอีโอ “Meta” “Snap” “Zoom” เลิกอวย Work from Home หันมากดดันพนักงานที่ไม่เข้าออฟฟิศ

    ท่ามกลางความอึมครึมของภาคอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียรายหนึ่งคาดการณ์ว่า เมืองใหญ่บางเมืองในสหรัฐฯ ขณะนี้กำลังยืนอยู่ปากเหวทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “วงจรหายนะ” เนื่องจากตลาดอาคารสำนักงานกำลังจะล้ม

    กลุ่มเฮดจ์ฟันด์ก็เริ่มส่งสัญญาณให้ระมัดระวังในการลงทุนอสังหาฯ ที่เกี่ยวกับอาคารสำนักงาน และมองว่าธนาคารในสหรัฐฯ น่าจะเสียหายประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8,900 ล้านบาท) จากการไปเกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ เชิงพาณิชย์

    Source

    ]]>
    1444466
    เปลี่ยน “ออฟฟิศร้าง” เป็น “ที่พักอาศัย” ข้อเสนอเพื่อแก้วิกฤตสองด้านในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ https://positioningmag.com/1440627 Thu, 10 Aug 2023 10:18:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1440627 วิถีการทำงานในสหรัฐฯ เปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เพราะพนักงานจำนวนมากยังทำงานทางไกล (remote work) แม้โรคระบาดคลี่คลายแล้วก็ตาม ตึกสำนักงานมากมายจึงมีพื้นที่ว่างไร้คนเช่า สวนทางกับความต้องการที่พักอาศัยใจกลางเมืองที่ยังสูงอยู่เสมอ ทำให้นักวิจัยศึกษาพบว่า หากเปลี่ยน “ออฟฟิศร้าง” เป็น “ที่พักอาศัย” จะทำให้วิน–วินทั้งสองฝ่าย คือเจ้าของอาคารได้ปล่อยเช่า และคนเข้าถึงที่พักอาศัยมากขึ้น

    สำนักวิจัยทางเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐฯ เปิดผลวิจัยชิ้นใหม่โดย Arpit Gupta, Candy Martinez และ Stijn Van Nieuwerburgh พบว่า มีอาคารสำนักงานมากกว่า 2,000 ตึกในเขตใจกลางเมืองของสหรัฐอเมริกาที่สามารถเปลี่ยนเป็นอาคารอะพาร์ตเมนต์ได้ การเปลี่ยนอาคารสำนักงานเป็นอะพาร์ตเมนต์ จะทำให้ได้ห้องอะพาร์ตเมนต์เพิ่มอย่างน้อย 170,000 ห้อง หรือสูงสุด 400,000

    การทำเช่นนี้จะช่วยแก้ปัญหาให้กับเมืองได้ทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งคือ วิกฤตขาดแคลนที่พักอาศัยในใจกลางเมือง และอีกด้านคือ เกิด “ออฟฟิศร้าง” มากเกินไป ซึ่งทำให้เจ้าของอาคารมีรายได้น้อยลง

    งานวิจัยนี้ระบุว่า 11% ของอาคารสำนักงานกลางเมือง นับเฉพาะเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุด 105 เมืองของสหรัฐฯ สามารถเปลี่ยนไปเป็นที่พักอาศัยแทนได้ และจะใช้เวลาน้อยกว่าการสร้างใหม่ขึ้นมาทั้งอาคาร รวมถึงดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วย

    ส่วนเมือง 3 อันดับแรกที่มีอาคารเหมาะจะเปลี่ยนเป็นที่พักอาศัยมากที่สุด คือ นิวยอร์ก, ซานฟรานซิสโก และ ลอสแอนเจลิส ตามลำดับ ทั้ง 3 เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่มีปัญหาค่าเช่าบ้านแพงที่สุดในประเทศเพราะซัพพลายต่ำกว่าดีมานด์มาก

    อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนอาคารออฟฟิศให้เป็นอะพาร์ตเมนต์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีเรื่องกฎหมายควบคุมอาคาร การต่อต้านของชุมชน และเจ้าของตึกต้องลงทุนเพิ่มด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง

    ยกตัวอย่างเช่น นิวยอร์ก มีกฎหมายควบคุมว่าห้องนอนจะต้องมีหน้าต่างทุกห้อง ทำให้อาคารออฟฟิศที่มักจะออกแบบมาให้เป็นห้องโล่งขนาดใหญ่ หากจะกั้นห้องให้เป็นอะพาร์ตเมนต์ ส่วนตรงกลางของตึกจะกั้นได้ยากเพราะจะไม่ติดหน้าต่าง จึงเป็นโจทย์สำคัญในการเปลี่ยนสภาพการใช้งานตึก

    • “เอเชีย-ยุโรป” กลับเข้าออฟฟิศ แต่ “สหรัฐฯ” ยังคง WFH ความต่างที่มีผลต่อธุรกิจ “สำนักงานให้เช่า”
    • WeWork ส่อแววไม่รอดสูง บริษัทกังวลความสามารถในการดำเนินธุรกิจหลังขาดทุน สภาพคล่องแทบไม่มี

    นี่ไม่ใช่คำตอบเดียวในการแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนที่พักอาศัยในเมือง แต่อย่างที่นักวิจัยกลุ่มนี้สรุป “แม้จะมีความท้าทาย แต่ศักยภาพในการจินตนาการใหม่ถึงการใช้งานพื้นที่เมืองให้ยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมต่อไปในอนาคตก็เป็นสิ่งสำคัญมาก”

    Source

    ]]>
    1440627
    “ไรมอน แลนด์” เปิดตัว “One City Centre” สำนักงานเกรด A+ เคาะราคาเช่า 1,500 บาทต่อตร.ม. https://positioningmag.com/1434258 Thu, 15 Jun 2023 07:27:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1434258 เปิดตัวสำนักงานเกรด A+ แห่งใหม่บนถนนเพลินจิต “One City Centre” พัฒนาโดย “ไรมอน แลนด์” เคาะราคาเช่า 1,500 บาทต่อตร.ม. ผู้เช่าทำสัญญาแล้ว 70% ของพื้นที่ เตรียมรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2567 เพื่อเป็นสัดส่วนรายได้ประจำ 15-25% ของบริษัท

    “กรณ์ ณรงค์เดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ประกาศเปิดตัวอาคารสำนักงานในเครือ “One City Centre” (OCC) ทำเลบนถนนเพลินจิต พร้อมเปิดใช้บริการแบบซอฟต์ โอเพนนิ่งแล้ววันนี้ โดยถือเป็นตึกอาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในไทย ด้วยความสูง 61 ชั้น หรือ 275.76 เมตร

    ตึก OCC แห่งนี้มีการร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ใช้เม็ดเงินลงทุนไปกว่า 8,800 ล้านบาท พัฒนาเป็นโครงการออฟฟิศระดับเกรด A+ มีพื้นที่เช่ารวม 61,000 ตารางเมตร เคาะราคาเช่าเฉลี่ย 1,500 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน

    One City Centre ไรมอน แลนด์
    One City Centre เพลินจิต

    กรณ์กล่าวว่า ขณะนี้อาคารได้เซ็นสัญญากับผู้เช่าไปแล้วกว่า 70% ของพื้นที่เช่า กลุ่มผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมการเงิน ธนาคาร และแฟชัน โดยผู้เช่าประมาณ 80% เป็นบริษัทต่างชาติ เช่น มิตซูบิชิ เอสเตท (Mitsubishi Estate), มิตซูบิชิ เฮฟวี่ (Mitsubishi Heavy), มิตซูบิชิ พาวเวอร์ (Mitsubishi Power), มารูเบนิ (Marubeni), จัสโค (JustCo), ซีบีอาร์อี (CBRE), อะมาดิอุส (Amadeus), คอร์ติน่า วอทช์ (Cortina Watch), และโคคูโย (Kokuyo) ส่วนที่เหลือ 20% เป็นบริษัทชั้นนำสัญชาติไทย

    “กรณ์ ณรงค์เดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML

    ด้านซัพพลายในตลาดอาคารสำนักงานปัจจุบัน อ้างอิงข้อมูลจาก CBRE ระบุว่า ณ ไตรมาส 1/2566 กรุงเทพฯ มีพื้นที่อาคารสำนักงานรวม 9.38 ล้านตารางเมตร โดยกลุ่มออฟฟิศระดับบนจะแบ่งตลาดออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

    • ออฟฟิศเกรด A+ มีซัพพลายรวม 400,000 ตร.ม.
    • ออฟฟิศเกรด A ในทำเลศูนย์กลางธุรกิจ มีซัพพลายรวม 900,000 ตร.ม.
    • ออฟฟิศเกรด A นอกทำเลศูนย์กลางธุรกิจ มีซัพพลายรวม 520,000 ตร.ม.

    จะเห็นได้ว่าตลาดออฟฟิศเกรด A+ มีซัพพลายน้อยที่สุดในตลาด โดยกรณ์ระบุว่าอาคารออฟฟิศในระดับเดียวกันนี้ที่กำลังก่อสร้างอยู่จะเป็นอาคารสำนักงานในโครงการ One Bangkok อย่างไรก็ตาม มองว่าการแข่งขันจะไม่ทับซ้อนกันเนื่องจากอยู่คนละทำเล และลักษณะโครงการของ OCC เป็นอาคารเดี่ยว ขณะที่ One Bangkok เป็นมิกซ์ยูส

    บริเวณรีเซปชัน

    กรณ์คาดว่า หลังจากทางเดินสกายวอล์กเชื่อมกับ BTS เพลินจิตก่อสร้างเสร็จในช่วงปลายไตรมาส 3 ของปีนี้และได้เปิดตึกอย่างเป็นทางการ จะช่วยเร่งให้ผู้เช่าทำสัญญาได้เร็วขึ้น คาดว่าจะมีผู้เช่าเต็มพื้นที่ภายในต้นปี 2567

    หลังจากรับรู้รายได้จากตึก OCC เต็มปี คาดการณ์ว่าจะทำให้รายได้ประจำ (recurring income) จากอาคารนี้มีสัดส่วนเป็น 15-25% ของรายได้รวมของไรมอน แลนด์ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า

     

    รู้จักอาคาร One City Centre

    อาคาร One City Centre เป็นอาคารสำนักงานบนที่ดินขนาด 6 ไร่ มีจุดเด่นที่การออกแบบแบ่งที่ดินเป็นสวนสาธารณะเล่นระดับด้านหน้าโครงการถึง 3 ไร่ และความสูงของอาคารดังที่กล่าวข้างต้น

    ขณะที่ฟังก์ชันภายในอาคารมีลักษณะเป็น Smart Building ที่ทำให้การใช้งานอาคารสะดวกและมีสุขอนามัยที่ดี เช่น ระบบ License Recognition จดจำทะเบียนรถเข้าอาคารอัตโนมัติ, ระบบ Face Recognition จดจำใบหน้าเข้าอาคารอัตโนมัติ, การออกแบบอาคารไม่มีเสากลางอาคาร, ความสูงพื้นถึงเพดาน 3 เมตร, กระจกอาคาร 3 ชั้น กรองรังสี UV และเสียงจากภายนอก รวมถึงมีระบบหมุนเวียนอากาศ MERV14 กรองฝุ่น PM2.5

    One City Centre
    บริเวณสวนสาธารณะ 3 ไร่ด้านหน้าโครงการ

    พื้นที่เช่าใน OCC จะแบ่ง 86% เป็นพื้นที่เช่าสำนักงาน และ 14% เป็นพื้นที่รีเทล โดยมีร้านอาหารและคาเฟ่ เช่น ฟู้ดคอร์ท กินนี่ฟู๊ด ในราคาเฉลี่ย 70 บาทต่อจาน, ร้านกาแฟ %Arabica วิวสวนสาธารณะ, ดีน แอนด์ เดลูก้า, โอ บอง แปง, คาเฟ่มัทฉะ Ksana จากญี่ปุ่น, ร้านชาไข่มุกออร์แกนิค BLK.BOBA, ร้านขนมปังอิตาลี Focaficial และร้านสะดวกซื้อ Lawson 108

    ขณะที่ชั้น 58-61 จะเป็นพื้นที่ร้านอาหารและ Sky Bar ที่เห็นวิวเมืองรอบกรุงเทพฯ ได้กว้างไกลจนถึงบางกระเจ้า โดยขณะนี้ได้ผู้บริหารเป็นกลุ่ม อัคร ฮอสพิแทลิตี้ อยู่ระหว่างการออกแบบและตกแต่งพื้นที่ คาดส่วนนี้จะให้บริการได้ช่วงเดือนตุลาคม 2566

    วิวเมืองจากชั้น 58

    สำหรับแผนงานปี 2566 ของไรมอน แลนด์ เตรียมจะเปิดโครงการทั้งหมด 3 โครงการในไตรมาส 4 มูลค่าโครงการรวม 18,000 ล้านบาท คือ วิลล่าตากอากาศ โรสวูด เรสซิเดนเซส กมลา จ.ภูเก็ต, คอนโดมิเนียมระดับอัลตราลักชัวรี โดยเป็น Branded Residence ทำเลสุขุมวิท และ บ้านเดี่ยวระดับอัลตราลักชัวรี ทำเลสุขุมวิท ตั้งเป้ายอดพรีเซลปีนี้ 6,700 ล้านบาท

     

    อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม

    • รวม 5 โครงการพาณิชย์ ห้าง-โรงแรม-ออฟฟิศ สร้างเสร็จปี 2566 ว่าที่ “แลนด์มาร์ก” ใหม่
    • นิยามความหรูแบบ “ไรมอน แลนด์” ปรับแบรนด์อสังหาฯ ให้โดนใจกลุ่ม “New Wealth”
    ]]>
    1434258
    รวม 5 โครงการพาณิชย์ ห้าง-โรงแรม-ออฟฟิศ สร้างเสร็จปี 2566 ว่าที่ “แลนด์มาร์ก” ใหม่ https://positioningmag.com/1414204 Wed, 28 Dec 2022 11:56:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1414204 ปี 2566 มีหลายโครงการพาณิชย์ของเอกชนที่กำลังจะสร้างเสร็จ และมีศักยภาพที่จะเป็น “แลนด์มาร์ก” ใหม่ของเมือง ทั้งโครงการศูนย์การค้า โรงแรม ออฟฟิศ บางส่วนเป็นเฟสแรกหรือเฟสต่อเนื่องของโครงการระดับเมกะโปรเจ็กต์เมืองไทย มีโครงการไหนบ้างไปดูกัน

    (*เรียงตามลำดับเวลาที่คาดว่าจะเปิดบริการ)

    1.โครงการ ICS – ไอคอนสยาม เฟส 2

    โครงการ ICS เป็นเฟส 2 ของเมกะโปรเจ็กต์ “ไอคอนสยาม” ยังคงลงทุนโดยกลุ่มทุนเดิมคือ “สยามพิวรรธน์-แมกโนเลียฯ-ซีพี” ใช้งบลงทุน 4,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 5 ไร่ พื้นที่โครงการรวม 70,000 ตร.ม. (พื้นที่ประมาณ 1 ใน 4 ของเฟสแรก) ทำเลที่ตั้งอยู่ตรงข้ามเฟสแรกบนฝั่งถนนเจริญนคร เป็นฝั่งที่ไม่ติดริมแม่น้ำ

    ฝั่ง ICS เองก็เป็นโครงการมิกซ์ยูสเช่นกัน ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ

    • อาคารรีเทล 8 ชั้น
    • อาคารสำนักงาน ไอซีเอสออฟฟิศทาวน์ ตั้งอยู่บนชั้น 6-8
    • โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ กรุงเทพ ไอซีเอส เจริญนคร โรงแรม 3 ดาว สูง 19 ชั้น จำนวนห้องพัก 241 ห้อง

    ในส่วนรีเทลที่ประกาศแบรนด์ผู้เช่าออกมาแล้ว เช่น

    • ซูเปอร์มาร์เก็ต – โลตัส (คอนเซ็ปต์ใหม่แบบพรีเมียม)
    • ร้านอาหาร – ซานตาเฟ่, เอี่ยวไถ่ สุกี้โบราณ, Omu, Getfresh, Mos Burger, คริสปี้ ครีม, White Story, ปังสยาม, Fuku Matcha, O-li-no, Bake a Wish, ชาตรามือ
    • Gadget – Garmin, Jaymart
    • เสื้อผ้า เครื่องประดับ – Skechers, U.S.Polo, แว่นท็อปเจริญ, Seven Days Optic
    • Health & Wellness – Siriraj H Solutions, Boots
    • Beauty – Beautrium, Cute Press
    • Home & Living – MR.DIY

    ICS ประกาศฤกษ์เปิดบริการ “11 ม.ค. 2566” อย่างที่เห็นว่าตำแหน่งทางการตลาดและแบรนด์ที่มาลงพื้นที่เช่าจะมีความ “แมส” มากกว่า “จับต้องได้” กว่าเฟสแรกชัดเจน ก็จะทำให้พื้นที่ไอคอนสยามยิ่งดึงดูดทราฟฟิกได้หลากหลาย ยิ่งตอกย้ำความเป็นแลนด์มาร์กของฝั่งธนบุรี

     

    2.One City Centre เพลินจิต

    อาคารสำนักงาน One City Centre

    อาคารสำนักงาน One City Centre เพลินจิต เป็นโครงการจากการร่วมทุนของ บมจ.ไรมอนแลนด์ กับ Mitsubishi Estate จากญี่ปุ่น ใช้งบลงทุน 8,800 ล้านบาท สร้างอาคารที่จะเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของย่านเพลินจิต ณ แปลงที่ดินขนาด 6 ไร่ ติดกับอาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

    เหตุที่บอกว่าจะเป็นแลนด์มาร์ก เพราะขณะนี้ตึกสร้างเสร็จแล้ว มีความสูง 61 ชั้น สูง 275 เมตร ซึ่งถือเป็นตึกอาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในไทย (หากรวมอาคารทุกประเภท จะสูงเป็นอันดับ 5 ของไทย) และด้านบนรูฟท็อปของอาคารจะเป็นร้านอาหาร-บาร์ ทำให้เป็นตึกใหม่ในการขึ้นไปชมวิวเมืองในอนาคต

    อีกส่วนที่สำคัญคือ One City Centre เว้นพื้นที่หน้าตึกสร้างเป็นสวนสีเขียว 3 ไร่ กลายเป็นปอดแห่งใหม่ใจกลางเมือง ที่สำคัญคือเป็นปอดที่คนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้งานได้แบบสาธารณะ ท่ามกลางตึกสูงมากมายในย่าน จุดนี้น่าจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจแห่งใหม่ของคนทำงานได้เลย

    One City Centre จะเริ่มเปิดให้ผู้เช่าเข้าตกแต่งได้ในต้นปี 2566 และไม่นานหลังจากนั้นเราน่าจะได้เห็นพิธีเปิดตึกอย่างเป็นทางการ

     

    3.วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ

    วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ เซ็นทรัล

    โปรเจ็กต์พิเศษของ “กลุ่มเซ็นทรัล” ศูนย์การค้านี้ดีไซน์ไม่เหมือนศูนย์การค้าทั่วไป เพราะจะเป็นไลฟ์สไตล์มอลล์แนวราบที่มีการถมทรายเข้ามาในบริเวณโครงการ ทำให้เหมือนได้เดินอยู่บนชายหาดตลอดเวลา

    เซ็นทรัลใช้งบลงทุน 3,000 ล้านบาท เนรมิตที่ดิน 13 ไร่บริเวณริมชายหาดวงศ์อมาตย์ เมืองพัทยา ให้เป็นมอลล์ชายหาดระดับลักชัวรี เน้นบรรยากาศธรรมชาติ แบ่งสัดส่วน 70% เป็นกลุ่มร้านอาหาร คาเฟ่ และอีก 30% เป็นร้านค้าปลีก พร้อมรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ทานบรันช์ยามสายจนถึงปาร์ตี้แสงสียามค่ำ

    ขณะนี้แบรนด์ที่มีการประกาศว่าจะมีในโครงการ ได้แก่ Siwilai City Club และ %Arabica และแบรนด์อื่นๆ ที่จะเข้ามาก็จะเน้นระดับไฮเอนด์เช่นกัน ซึ่งเซ็นทรัลเชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยยกระดับพัทยาให้มีสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับบนได้มากขึ้น

    เดิมเซ็นทรัลประกาศว่า วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ จะเปิดตัวปลายปี 2565 แต่เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาโครงการยังคงมองหาผู้เช่า ก็เป็นไปได้ว่าไทม์ไลน์การเปิดน่าจะขยับไปเป็นปี 2566 แทน

     

    4.One Bangkok เฟสแรก

    โครงการ One Bangkok

    อภิมหาเมกะโปรเจ็กต์ One Bangkok ลงทุนโดยสองบริษัทของตระกูลสิริวัฒนภักดี ได้แก่ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทุ่มงบสำหรับทั้งโครงการไป 1.2 แสนล้านบาท เพื่อพัฒนาพื้นที่ 104 ไร่

    ที่ตั้งของโครงการอยู่หัวมุมแยกถนนพระราม 4 ตัดถนนวิทยุ ตรงข้ามสวนลุมพินี ภายในจะเป็นเมืองในตัวเองก็ว่าได้ เพราะมีอาคารสำนักงานถึง 5 อาคาร พื้นที่รีเทล 4 โซน โรงแรมอีก 5 แห่ง และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี 3 อาคาร

    ไทม์ไลน์การก่อสร้างนั้นวางแผนจะเปิดเฟสแรก ปี 2566 และเสร็จสิ้นทั้งโครงการปี 2569

    เฟสแรกที่จะเปิดก่อนตามแผนคือ โรงแรม The Ritz-Carlton Bangkok และ โรงแรม Andaz One Bangkok เป็นสองตึกแรกที่จะเสร็จสิ้นก่อน

    ส่วนไฮไลต์ของโครงการคือ “Signature Tower” ว่าที่อาคารที่สูงที่สุดในไทยแห่งใหม่ ด้วยความสูง 437 เมตร 92 ชั้น คาดว่าน่าจะสมบูรณ์ในปี 2569

     

    5.The Emsphere

    จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายของ The EM DISTRICT ของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป คือศูนย์การค้า The Emsphere (ดิ เอ็มสเฟียร์) ที่กำลังเร่งการก่อสร้างอยู่ขณะนี้ ด้วยงบประมาณลงทุนที่อาจแตะถึง 16,000 ล้านบาท ปั้นพื้นที่บริเวณพร้อมพงษ์ให้เป็นย่านช้อปปิ้งระดับโลก

    จากการแถลงข่าวล่าสุดเดือนตุลาคม 2565 เดอะมอลล์ระบุว่า The Emsphere ทำการก่อสร้างไปแล้ว 90% มั่นใจว่าจะเสร็จทันกำหนด เดือนธันวาคม 2566

    The Emsphere นี้ทำเลจะอยู่ถัดจากสวนเบญจสิริ เนื้อที่ถึง 20 ไร่ มีพื้นที่อาคาร 200,000 ตร.ม. ใช้คอนเซ็ปต์ Hybrid New Entertain & Hang Out มีร้านอาหารที่รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เป็นศูนย์การค้าแรกในไทยที่มี Beach Club มาตั้งอยู่ภายในห้างฯ เน้นความบันเทิงและนวัตกรรม

    ไฮไลต์ผู้เช่าที่น่าสนใจที่เปิดเผยแล้ว เช่น IKEA City Store แห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, EMLIVE ซึ่งเป็น World Class Arena 6,000 ที่นั่ง บริหารงานโดย AEG

    • “อิเกีย สุขุมวิท” เหมาชั้น 3 ของ Emsphere ของครบเหมือนสาขาใหญ่ เตรียมเปิดปลายปี 66

    ยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังก่อสร้างและจะทยอยพลิกโฉมเมืองในอนาคตอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็น โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่จะเปิดเฟสแรกต้นปี 2567, แบงค็อก มอลล์ ที่คาดว่าจะเริ่มให้บริการบางส่วนได้ในปี 2567, อควอทิค พัทยา ที่จะเริ่มเปิดปี 2567, One Bangkok ที่ยังเหลืออีกหลายเฟสจนถึงปี 2569 หรือโครงการเวิ้งนครเขษม ที่คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ปี 2569 เช่นกัน

    ]]>
    1414204
    กลับมาออฟฟิศ! 38% ของบริษัทในเอเชียต้องการให้พนักงานเข้าสำนักงาน “ทุกวัน” https://positioningmag.com/1387111 Mon, 30 May 2022 13:42:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387111 CBRE สำรวจบริษัทในเอเชียแปซิฟิกกว่า 150 แห่ง พบว่า 38% ของบริษัทในเอเชียต้องการให้พนักงาน “กลับเข้าออฟฟิศ” ทุกวัน สถิตินี้เพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน และต่างจากฝั่งสหรัฐฯ-ยุโรปที่มีบริษัทเพียง 5% ที่ต้องการให้พนักงานเข้าออฟฟิศทุกวัน เป็นสัญญาณที่ดีของตลาดอาคารสำนักงานเอเชียที่จะยังมีความต้องการต่อเนื่องหลัง COVID-19

    “มณีรัตน์ วิจิตรรัตนะ” ผู้อำนวยการอาวุโส แผนกพื้นที่สำนักงาน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยรายงานการสำรวจความคิดเห็นบริษัทในเอเชียแปซิฟิกกว่า 150 บริษัท ในปี 2565 เกี่ยวกับนโยบายการทำงานภายในสำนักงานหลังสถานการณ์คลี่คลาย พบข้อมูลดังนี้

    • 38% ทำงานในสำนักงานเท่านั้น
    • 24% ทำงานในสำนักงานเป็นส่วนใหญ่
    • 28% ทำงานในและนอกสำนักงานเท่ากัน
    • 5% ทำงานนอกสำนักงานเท่านั้นหรือเป็นส่วนใหญ่

    เข้าออฟฟิศ ทุกวัน

    ตัวเลขนี้เมื่อเทียบกับการสำรวจเมื่อปี 2564 จะพบว่า มีบริษัทเอเชียที่ต้องการให้พนักงาน “เข้าออฟฟิศ” ทุกวันมากขึ้นกว่าเดิม (ปี 2564 มีบริษัทที่ต้องการให้เข้าออฟฟิศทุกวันเพียง 26%) ขณะที่ตัวเลขของบริษัทที่ให้มีการทำงานแบบไฮบริดอยู่ที่ 52% ซึ่งใกล้เคียงกับเมื่อปีก่อน ส่วนที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือบริษัทที่ให้พนักงานทำงานนอกสำนักงานเท่านั้น ซึ่งลดลงจากสัดส่วน 21% มาเหลือเพียง 5%

    มณีรัตน์ระบุว่า บริษัทเอเชียจำนวนมากทบทวนนโยบายที่เคยจะให้พนักงานทำงานนอกสำนักงานเท่านั้นหรือเป็นส่วนใหญ่ เพราะพบว่าการเข้าออฟฟิศยังช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่า ความร่วมมือระหว่างคนในทีมดีกว่า สร้างวัฒนธรรมองค์กรได้

    แนวคิดของบริษัทเอเชียที่จำนวนมากยังต้องการให้พนักงานเข้าออฟฟิศทุกวัน ค่อนข้างแตกต่างกับบริษัทในสหรัฐฯ ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ที่มีบริษัทเพียง 5% ที่ต้องการให้พนักงานมาออฟฟิศทุกวัน

    เทรนด์ของฝั่งเอเชียแปซิฟิกเป็นผลดีต่อตลาดอาคารสำนักงาน เพราะนั่นหมายความว่าบริษัทเกือบทั้งหมดจะยังต้องการใช้พื้นที่สำนักงานต่อไป โดยเกือบครึ่งหนึ่งของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามมีแผนจะเพิ่มพื้นที่ออฟฟิศภายในสามปี

     

    สำนักงานแบบ Hot Desk จะเป็นที่ต้องการ

    จากนโยบายดังกล่าว เมื่อบริษัทมีการทำงานแบบไฮบริดเป็นส่วนใหญ่ พนักงานสับเปลี่ยนกันเข้ามาออฟฟิศ ทำให้โต๊ะทำงานไม่ต้องมีที่นั่งประจำ เทรนด์การมีที่นั่งแบบยืดหยุ่นหมุนเวียนกันไป (Hot Desk) ที่เคยเป็นกระแสมาตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19 ก็จะยังเป็นเทรนด์ต่อเนื่องและมากขึ้น โดยสำนักงานที่เป็น open-plan เปิดโล่งและยืดหยุ่นในการจัดโต๊ะถือเป็นคุณสมบัติสำคัญอันดับแรก มีผู้เช่า 64% ต้องการสำนักงานรูปแบบนี้

    ส่วนบริษัทที่ใช้ที่นั่งตายตัวก็ลดลง จากการสำรวจพบว่าเคยมี 58% ที่มีที่นั่งประจำก่อนเกิดโรคระบาด ปัจจุบันเหลือเพียง 28% เพราะหลายอุตสาหกรรมสามารถจัดการให้เป็นที่นั่งหมุนเวียนได้แล้ว เช่น ภาคการเงิน สำนักงานกฎหมาย

    ประเด็นอื่นๆ ที่ผู้เช่าต้องการจากสำนักงาน เช่น 52% ต้องการคุณภาพอากาศในอาคารที่ดี, 51% ต้องการพื้นที่ส่วนตัวสำหรับประชุมออนไลน์และโทรศัพท์, 35% ต้องการเทคโนโลยีไร้สัมผัส

    ข้อดีของการทำงานแบบไฮบริดคือช่วยลดความหนาแน่นในออฟฟิศได้ และทำให้ประสิทธิภาพงานดีขึ้น อ่านข้อมูลนี้จาก PwC ที่นี่

    ]]>
    1387111