อาหาร – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 20 Apr 2022 01:38:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 นักวิจัยญี่ปุ่น พัฒนาตะเกียบไฟฟ้าเสริม ‘รสเค็ม’ ช่วยผู้ที่ต้องการ ‘ลดโซเดียม’ ในอาหาร https://positioningmag.com/1381995 Tue, 19 Apr 2022 14:10:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381995 นักวิจัยญี่ปุ่น พัฒนาตะเกียบไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มรสเค็มสำหรับผู้ที่ต้องการลดโซเดียมในเมนูอาหาร

โดยผลงานนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างศาสตราจารย์ Homei Miyashita จากมหาวิทยาลัยเมจิ และบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่อย่าง Kirin Holdings ซึ่งตะเกียบดังกล่าว จะช่วยเพิ่มรสชาติผ่านการกระตุ้นด้วยระบบไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สวมใส่อยู่บนสายรัดข้อมือ

ศาสตราจารย์ Miyashita เปิดเผยว่า ตัวอุปกรณ์จะใช้กระแสไฟฟ้าอ่อน เพื่อส่งผ่านไอออนของโซเดียมจากอาหารผ่านตะเกียบและเข้าสู่ปาก ซึ่งจะช่วยสร้างสัมผัสรสเค็มได้ เเละผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือมีรสเค็มเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า

ทีมวิจัยกำลังสำรวจวิธีต่างๆ ที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาทำปฏิกิริยาและกระตุ้นประสบการณ์ประสาทสัมผัสของมนุษย์ อย่างเช่น การพัฒนาจอโทรทัศน์ที่เลียได้ สามารถเลียนแบบรสชาติอาหารที่หลากหลาย เป็นต้น

ทั้งนี้ อาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น มักจะนิยมมีรสเค็ม ซึ่งผู้ใหญ่ชาวญี่ปุ่น โดยเฉลี่ยเเล้วจะบริโภคเกลือประมาณ 10 กรัมต่อวัน ซึ่งมากกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ถึง 2 เท่า

การที่ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป เกี่ยวเนื่องกับภาวะอันตรายที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าเป็น ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และอาการเจ็บป่วยอื่นๆ เเละเพื่อป้องกันโรคร้ายเหล่านี้ จึงต้องลดปริมาณเกลือที่เราบริโภคลง

Miyashita เเละ Kirin เตรียมจะเปิดตัวตะเกียบช่วยเพิ่มรสเค็มตัวต้นแบบในเร็วๆ นี้ และหวังว่าจะได้วางขายในตลาดอย่างเร็วที่สุดในช่วงปีหน้า

 

ที่มา : Reuters

]]>
1381995
สงครามรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ ดัน ‘ราคาอาหารโลก’ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ https://positioningmag.com/1381139 Fri, 08 Apr 2022 17:19:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381139 ราคาอาหารโลก แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมีนาคม จากผลกระทบสงครามรัสเซียยูเครนที่ส่งผลต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิด โดยเฉพาะธัญพืชและน้ำมันพืช

รายงานล่าสุดขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เปิดเผยว่า การหยุดชะงักของภาคการส่งออกและการคว่ำบาตรจากนานาชาติต่อรัสเซีย กระตุ้นให้เกิดความกังวลต่อวิกฤตความอดอยากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งตอนนี้ผลกระทบดังกล่าวยังดำเนินอยู่ต่อเนื่อง

รัสเซียและยูเครน นับเป็นประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกธัญพืชหลักของโลก โดยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์หลักหลายรายการ อย่างเช่น ข้าวสาลี น้ำมันพืช และข้าวโพด

ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหารโลกพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในเดือนมีนาคม แตะระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา หลังความตึงเครียดของสงคราม สร้างความวิตกไปทั่วตลาด” FAO ระบุในแถลงการณ์

ดัชนีราคาอาหารของ FAO รายงานสถิติสูงสุดในเดือนก.. พุ่งขึ้น 12.6% เมื่อเดือนที่แล้ว เเละเป็นการขึ้นเเบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่สู่ระดับสูงสุดใหม่ นับตั้งแต่ FAO ก่อตั้งมาในปี 1990

โดยดัชนีราคาอาหาร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงรายเดือนของสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายมากสุดทั่วโลก เฉลี่ยที่ 159.3 จุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์มีราคาปรับขึ้นทำสถิติใหม่เป็นประวัติการณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันพืช ธัญพืช และเนื้อสัตว์ ขณะที่ราคาน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากนม ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างมากเช่นกัน

ทั้งนี้ รัสเซียและยูเครน มีการส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นอันดับต้นๆ ของโลก คิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของการบริโภคข้าวสาลี และ 20% ของการบริโภคข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก

ขณะที่เเหล่งเพาะปลูกข้าวสาลีแห่งอื่นอย่างสหรัฐฯ ก็เจอผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ทำให้ราคาข้าวสาลีในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเกือบ 20%

ด้านดัชนีราคาน้ำมันพืชของ FAO เพิ่มขึ้น 23.2% โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันเมล็ดทานตะวันที่สูงขึ้น เนื่องจากยูเครนเป็นชาติผู้ส่งออกหลัก ผลกระทบด้งกล่าวทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งในยุโรปต้องจำกัดการซื้อน้ำมันพืชเพื่อไม่ให้เกิดปัญญาการกักตุนสินค้า

นอกจากวิกฤตทางด้านอาหารเเล้ว ความขัดแย้งรัสเซียยูเครน ยังส่งผลต่อราคาน้ำมันและก๊าซ ซึ่งมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นไปทั่วโลก และอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก หลังเพิ่งฟื้นตัวได้จากโควิด-19

 

ที่มา : AFP 

]]>
1381139
มองตลาด ‘ฟู้ดเดลิเวอรี่’ ปี 65 เเตะ 7.9 หมื่นล้าน เเรงหนุน Hybrid Work รุกขยายต่างจังหวัด  https://positioningmag.com/1366380 Sat, 11 Dec 2021 08:53:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1366380 ประเมินตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ไทย ปี 65 จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงแตะ 7.9 หมื่นล้าน หรือ 4.5% จากฐานที่สูงมากในปี 64 ยังมีเเรงหนุนจากผู้ใช้ที่ทำงานแบบ Hybrid Work เเพลตฟอร์มเร่งอัดโปรฯ ขยายตลาดชุมชน-ต่างจังหวัด ราคาหรือยอดสั่งอาหารต่อครั้งในปี 2565 คาดจะเพิ่มขึ้นแต่อยู่ในอัตราที่จำกัด ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และกำลังซื้อของครัวเรือนที่เปราะบาง

การระบาดของโควิด-19 มาตรการจำกัดการให้บริการร้านอาหาร การทำงานเเบบ Work from Home พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความคุ้นชินกับการใช้แอปพลิเคชันจัดส่งอาหารไปยังที่พัก และมาตรการคนละครึ่งของภาครัฐ ทำให้ทั้งปี 2564 มูลค่าตลาดของฟู้ดเดลิเวอรี่ (ฐานคำนวณใหม่ ได้รวมสินค้าในหมวดเบเกอรี่ และเครื่องดื่ม อาทิ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ เป็นต้น) เติบโตกว่า 46.4% จากปี 2563

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินแนวโน้มตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ ในปี 2565 โดยประมวลข้อมูลจากความร่วมมือของ LINE MAN Wongnai และข้อมูลในตลาด คาดว่า ปริมาณการสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่อาจยังเพิ่มขึ้นจากแรงหนุนด้านความต้องการของผู้ใช้บริการท่ามกลางการทำงานแบบ Hybrid Work

“กลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการในการขยายฐานรายได้ในพื้นที่ใหม่ และฐานลูกค้าสะสมของผู้ใช้บริการทั้งฝั่งผู้บริโภคและร้านอาหารเร่งตัวขึ้นจากผลของโควิดที่ระบาดรุนแรง แต่การเพิ่มขึ้นน่าจะชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2564”

อานิสงส์ Hybrid Work รุกขยายต่างจังหวัด 

ทิศทางตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ปี 2565 คาดว่า จะปรับขึ้นจากการที่ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันจัดส่งอาหารไปยังที่พักจัดโปรโมชันกระตุ้นตลาดต่อเนื่อง พร้อมขยายฐานร้านค้าและกลุ่มลูกค้าใหม่ไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น และความคุ้นชินของผู้บริโภค

แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศจะคลี่คลายและภาครัฐเปิดให้มีการทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 อย่างไรก็ตาม การพบผู้ติดเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอไมครอนในหลายประเทศทั่วโลก สร้างความกังวลรอบใหม่ต่อความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดอีกครั้ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เกิดการระบาดที่รุนแรงของโควิดในประเทศอีกในปี 2565 การดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันของประชาชนน่าจะเดินหน้าได้ต่อเนื่อง และเป็นแรงหนุนต่อธุรกิจร้านอาหารที่น่าจะกลับมาดำเนินธุรกิจได้เมื่อเทียบกับในปี 2564

โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจร้านอาหารให้บริการเต็มรูปแบบ หรือ Full-Service Restaurants เช่น สวนอาหาร บุฟเฟ่ต์ เป็นต้น จากการที่ผู้บริโภคมีออกไปใช้บริการนั่งทานในร้านอาหารที่น่าจะเพิ่มขึ้น

แต่หากมองในอีกมุมของธุรกิจนั้น สถานการณ์ดังกล่าวก็อาจจะสร้างความท้าทายต่อตลาดการสั่งอาหารไปส่งยังที่พัก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อทิศทางตลาดการสั่งอาหารไปส่งยังที่พักในปี 2565 ดังนี้

Hybrid Work และความคุ้นชิน ประกอบกับการกระตุ้นตลาดโดยใช้โปรโมชั่นของผู้ประกอบการ น่าจะทำให้ลูกค้าผู้ใช้บริการที่เคยใช้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน Gen Y และกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ยังคงใช้บริการต่อเนื่อง

ร้านอาหารในกลุ่ม Fast Food ให้ความสำคัญกับการทำตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ การปรับรูปแบบธุรกิจร้านอาหารมายัง Cloud kitchen และ Ghost kitchen ของผู้ประกอบการรายใหญ่

เน้นเจาะไปยังชุมชน ชานเมืองและในต่างจังหวัด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ได้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยเพิ่มฐานผู้ใช้ทั้งฝั่งผู้บริโภคและร้านอาหารที่มีคุณภาพให้เข้ามาในระบบมากขึ้น

เจ้าเเพลตฟอร์ม เร่งอัดโปรโมชัน 

จากข้อมูล LINE MAN Wongnai ที่สะท้อนถึงเครื่องชี้กิจกรรมตลาดการสั่งอาหารยังที่พักที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยในไตรมาส 2 ปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่สถานการณ์โควิดกลับมาระบาดรุนแรงขึ้น ผู้ประกอบการธุรกิจสมัครใช้บริการแอปพลิเคชันจัดส่งอาหารไปยังที่พักเร่งตัวขึ้นกว่า 60.9% จากไตรมาสก่อนหน้า

ขณะเดียวกันทางฝั่งของผู้บริโภค ดัชนีจำนวนผู้ลงทะเบียนสะสมในเดือนก.ย. 2564 เพิ่มขึ้นกว่า 110% เมื่อเทียบกับเดือนก.พ.2563 (ซึ่งเป็นช่วงก่อนการระบาดของโควิดในประเทศ)

ในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การขยายพื้นที่การทำตลาดของผู้ประกอบการแพลตฟอร์มจัดส่งอาหารและการทำโปรโมชันด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง น่าจะผลักดันให้ดัชนีจำนวนครั้งในการสั่งอาหารของผู้บริโภคในปี 2565 จะอยู่ที่ 477 (ฐาน 100 ที่ปี 2561) เพิ่มขึ้น 2.9% ชะลอลงเมื่อเทียบกับปี 2564

ยอดสั่งซื้อต่อครั้งเพิ่มขึ้นเป็น 193 บาท 

สำหรับราคาหรือยอดสั่งอาหารต่อครั้งในปี 2565 คาดว่า จะเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ในอัตราที่จำกัด ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง และกำลังซื้อของครัวเรือนที่เปราะบาง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2565 ยอดสั่งซื้อต่อครั้งน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 193 บาท เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 190 บาท โดยการเพิ่มขึ้นเป็นผลหลักจากการปรับตัวขึ้นของต้นทุนของร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบอาหาร ต้นทุนแรงงาน และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการโควิดที่ยังมีต่อเนื่อง

ขณะที่ประเภทอาหารที่ผู้บริโภคนิยมสั่ง อาจจะยังคงเป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์ด้านความคุ้มค่า ความสะดวก และรสชาติที่แตกต่าง โดยจากข้อมูล LINE MAN Wongnai พบว่า ในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา อาหารยอดนิยมได้แก่ ร้านเบเกอรี่และเครื่องดื่ม (เช่น กาแฟ ชานมและน้ำผลไม้) อาหารตามสั่ง อาหารอีสาน เป็นต้น

ด้านความหลากหลายและจำนวนร้านอาหารสะสมที่เข้าร่วมในแพลตฟอร์มที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการรุกขยายไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม จากเดิมที่ก็สูงอยู่แล้ว จะทำให้การแข่งขันในตลาดยังมีความรุนแรง และการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดหรือโปรโมชันจะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ก็อาจเป็นแรงกดดันที่ทำให้ราคาอาหารน่าจะปรับขึ้นได้จำกัด

ปี 65 มูลค่าตลาด “ฟู้ดเดลิเวอรี่” โตแตะ 7.9 หมื่นล้าน

จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการสั่งและราคาดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในปี 2565 (ฐานคำนวณใหม่ รวมร้านอาหาร เบเกอรี่และเครื่องดื่ม) จะมีมูลค่าประมาณ 7.9 หมื่นล้านบาท หรือขยายตัว 4.5% ชะลอลงจากฐานที่เร่งตัวสูงในปี 2564 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในกรณีที่โอไมครอนมีการระบาดรุนแรง ตลาดการจัดส่งอาหารไปยังที่พักน่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นกว่าคาด

โดยกลุ่มร้านอาหารที่มีโอกาสเติบโตได้มากกว่าภาพรวม ได้แก่ ร้านอาหาร Limited Service (เช่น เบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่ทอด เป็นต้น) และ Street food ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันจัดส่งอาหารไปยังที่พักให้ความสำคัญในการทำการตลาดและขยายพอร์ตร้านอาหารบนแพลตฟอร์มของตน

กลุ่มร้านอาหารเต็มรูปแบบ และกลุ่มร้านเครื่องดื่ม เบเกอรี่ อาจเป็นกลุ่มที่ชะลอลง ภายใต้เงื่อนไขที่โควิดยังอยู่แต่ไม่รุนแรง ทำให้ประชาชนบางส่วนออกไปทานนอกบ้านมากขึ้น และบางกิจการทยอยให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ อย่างไรก็ตาม รายได้สุทธิของแต่ละร้านอาหาร คงขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของแต่ละราย

“ผู้ประกอบการร้านอาหารยังจำเป็นต้องพึ่งพาช่องทางฟู้ดเดลิเวอรี่ โดยเน้นไปที่เมนูอาหารที่ชูความคุ้มค่าด้านราคาและคุณภาพ มีเอกลักษณ์ที่หาทานที่อื่นได้ยาก เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เเละยังจำเป็นต้องบริหารจัดการต้นทุนทั้งวัตถุดิบ แรงงาน ครัวกลาง ช่องทางการขาย อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความต่อเนื่องของกระแสเงินสดและมีส่วนต่างกำไรหล่อเลี้ยงกิจการอย่างสม่ำเสมอ” 

 

 

]]>
1366380
วิถีมวยรองของ ‘Robinhood’ สู่เป้าหมายการลงทุน 5 พันล้าน เติบโตเป็น ‘ซูเปอร์เเอป’ อาเซียน https://positioningmag.com/1358288 Wed, 27 Oct 2021 12:50:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1358288 เดินทางมาได้ครบ 1 ปีเเล้วกับ Robinhood (โรบินฮู้ด) ฟู้ดเดลิเวอรี่สัญชาติไทย ที่มีจุดเริ่มต้นจากความต้องการช่วยเหลือคนตัวเล็กให้อยู่รอดผ่านวิกฤตโควิด สั่นสะเทือนวงการด้วยการประกาศไม่เก็บค่า GP’ ร้านอาหารเเม้เเต่บาทเดียว

เเละต่อจากนี้ไปคือการขยายบริการไปยังธุรกิจท่องเที่ยว จองโรงแรมตั๋วเครื่องบิน-ทัวร์ ซื้อของเเละส่งของ ตามเป้าหมายการเป็นซูเปอร์แอป’ เตรียมตัวระดมทุนใหญ่ ในปี 2565 เเละจะเพิ่มการลงทุน 4-5 พันล้านในปี 2566

หากคิดว่า Robinhood เป็นเด็กคนหนึ่ง ก็นับเป็นเด็กที่โตเร็วมากเพราะปัจจุบัน หลังทำมาเพียงปีเดียว ก็มีลูกค้าที่ลงทะเบียนใช้งานเเพลตฟอร์มไปเเล้วถึง 2.3 ล้านคน มีร้านอาหารเข้าร่วมกว่า 164,000 ร้าน และมีไรเดอร์ 26,000 คน ออเดอร์ต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 ออเดอร์ โดยยอดสั่งออเดอร์มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 750% เมื่อเทียบกับเดือนก..ปีที่ผ่านมา

ยิ่งในช่วงกลางปีที่มีการล็อกดาวน์รอบสอง’ Robinhood ได้ออกมาตรการพิเศษส่งฟรีทุกออเดอร์ช่วงล็อกดาวน์เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้คนในสังคม ซึ่งแคมเปญนี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เเพลตฟอร์มเติบโตได้แบบก้าวกระโดด

โดย 5 อันดับเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดได้แก่ ก๋วยเตี๋ยว (ขายดีถึง 3.7 ล้านชาม) ชานมไข่มุก อาหารจานเดียว แซลมอน และกาแฟ ส่วนพื้นที่ที่มีการจัดส่งมากที่สุด ได้แก่ จตุจักร ห้วยขวาง บางกะปิ ลาดพร้าว สายไหม บางเขน สวนหลวง ดินแดง ประเวศ และวังทองหลาง

กลุ่มลูกค้าหลักของ Robinhood ขยายจากคนตัวเล็กสู่วงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางในเมืองที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะสามารถต่อยอดไปสู่การให้บริการอื่นๆ ได้ เช่น ชวนไปเที่ยว ชวนไปช้อป

วิถีมวยรองของ Platform of kindness

ธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทลูกในเครือ SCBX ผู้พัฒนาและให้บริการแพลตฟอร์ม Robinhood เล่าให้ฟังถึง เส้นทางการเรียนรู้เเละลองผิดลองถูก ตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สรุปได้เป็นบทเรียนสำคัญคือ

1.ฐานลูกค้า ที่ใช้บริการแพลตฟอร์มจะเป็นพลังสำคัญที่จะนำ Robinhood ก้าวสู่ความเป็นซูเปอร์แอป (super app) ในอนาคต 

2. Platform of kindness จุดเด่นของการแพลตฟอร์มที่ชูความช่วยเหลือและมีน้ำใจ” ต่อกัน มีแรงดึงดูดผู้คนไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ร้านค้า และไรเดอร์ ช่วยเหลือกัน นับเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้แพลตฟอร์มสามารถเติบโตต่อไปได้ 

3.ความสนุกของการได้ลงมือทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้ มีความอยากที่จะเรียนรู้พัฒนาไปเรื่อยๆ เเละมีโจทย์ใหม่ๆ มาให้ทดลองอยู่เสมอ

4.มาตรฐานโอลิมปิก คือ การที่เมื่อคิดจะลงมือทำอะไรให้คิดไปถึงมาตรฐานโอลิมปิก เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มาตรฐานระดับสากลสู้กับคู่เเข่งยักษ์ใหญ่ที่มาจากต่างประเทศได้

5. วิถีมวยรอง เล่นเกมธุรกิจที่มีความเเตกต่าง ใช้เงินทุนน้อยกว่า จำนวนคนน้อยกว่า เเละไม่ได้มุ่งหวังจะไปแข่งชิงเบอร์ 1 กับเจ้าตลาดที่แข็งแกร่ง แต่ต้องพยายามหาตำแหน่งทางการตลาดของตัวเองให้ได้ เป็นมวยรองที่มีจุดยืนชัดเจน

-ธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด

ปรับไซซ์ใหญ่ สู่ ‘ซูเปอร์เเอป’ 

ก้าวต่อไปของ Robinhood จึงถึงเวลาที่จะขยายไปให้กว้างเเละใหญ่ขึ้น หลากหลายมิติมากขึ้น นอกจากธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ เเต่ก็ยังจะต้องคงคอนเซ็ปต์การช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย ช่วยคนไทย

สีหนาท ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด บอกว่า Robinhood กำลังจะเดินเข้าสู่ 3 ธุรกิจใหม่ที่เป็น Non-Food  ได้แก่

บริการจองที่พัก ตั๋วเครื่องบิน กิจกรรมท่องเที่ยว รถเช่า ประกันภัย (Online Travel Agent) สร้างทางเลือกและช่วยผู้ประกอบการ SME ไทย ให้ไม่ต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ตัวแทนในการขายห้องพักผ่านช่องทางออนไลน์

บริการสั่งซื้อสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้า (Mart Service) เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการขายและเป็นสะพานเชื่อมให้ผู้ประกอบการได้เจอกับลูกค้าโรบินฮู้ดซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและพร้อมซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ 

บริการรับส่งของ (Express Service) แบบ on-demand เพื่อรองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่กำลังขยายตัวแบบก้าวกระโดด

ชำระเงินข้ามแพลตฟอร์ม เพิ่มฟีเจอร์เเชท-ให้ทิป 

สำหรับธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ที่เป็นธุรกิจเริ่มต้นของ Robinhood นั้นจะมีเเผนการให้บริการสู่ต่างจังหวัด หลังตีตลาดในกรุงเทพฯ เเละปริมณฑลได้สำเร็จเเล้ว

ในปี 2565 เตรียมปักหมุดนำร่องที่ 3 จังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยม อย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต และชลบุรี ก่อนขยายไปหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศต่อไป ซึ่งบริษัทจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เข้าไปเรื่อยๆ อย่างเช่น

การให้คะเเนนรีววกับร้านค้าและไรเดอร์

รีพอร์ตสำหรับร้านค้าที่จะได้เห็นข้อมูลสถิติการซื้อขายของตัวเอง

ให้ร้านค้าสามารถสร้างโปรโมชันได้เองในหน้า Landing Page ปรับเลือกหน้าเพจได้เอง

โปรเเกรม subscription ฟีเจอร์แชทกับไรเดอร์

ให้ทิปกับไรเดอร์

สำหรับการชำระเงินนั้น ผู้บริหาร Robinhood ยืนยันว่าจะเน้นการเป็น Cashless 100% เพื่อสนับสนุนสังคมไร้เงินสด เเละมีความปลอดภัยเนื่องจากผู้ซื้อเเละไรเดอร์ไม่ต้องจับเงินสดเลย อีกทั้งเงินยังโอนเข้าร้านค้าได้เร็วนำไปหมุนเวียนธุรกิจได้เร็วกว่า

เพื่อให้ผู้บริโภคชำระเงินอย่างสะดวก Robinhood จะจับมือกับผู้ให้บริการ Mobile Banking อีก 2 – 3 ราย รวมถึงกลุ่ม Non-Bank ให้ลูกค้าสามารถชำระเงินข้ามแพลตฟอร์มได้ โดยไม่ต้องใช้บัญชี SCB อย่างเดียว ซึ่งกำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ การมาของยานเเม่ SCBX ที่ปลดล็อกธนาคารร้อยปี เเละ Re-imagine ไทยพาณิชย์ให้เป็นบริษัทเทคยุคใหม่นั้น

Robinhood ก็จะมีผสานพลังความร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ ในกลุ่ม SCBX เช่น Auto X, Card X, Data X, SCB Tech X เป็นต้น เพื่อหาลูกค้า (customer acquisition) พร้อมการนำเอาข้อมูลดาต้ามาต่อยอดด้านสินเชื่อและบริการทางการเงินอื่น ๆ รวมไปถึง การทำโฆษณา ทำโปรโมชันกับลูกค้า เพื่อประโยชน์สูงสุดของร้านค้า และลูกค้า 

เราวางแผนเตรียมระดมทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของแพลตฟอร์มและมุ่งพัฒนาบริการ ปูทางสู่การเป็นซูเปอร์แอปสัญชาติไทยอย่างเต็มตัว ที่พร้อมรองรับบทบาทการเป็นผู้ให้บริการในระดับภูมิภาค (regional player)”

-สีหนาท ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด

ระดมทุนเพื่อการเติบโต 

จากเงินทุนตั้งต้น 150 ล้านบาทในช่วงเเรกของการเปิดตัว วันนี้ Robinhood เตรียมการระดมทุนกว่า 1,000 – 3,000 ล้านบาท ในช่วงกลางปี 2565 จากนั้นตั้งเป้าจะสู่ 4,000-5,000 ล้านบาท ภายในปี 2566 เพื่อเป้าหมายการเป็นซูเปอร์แอปให้ได้ในเร็ววัน พร้อมขยายไปในตลาดอาเซียน

ธนาบอกว่า ในช่วงกลางปี 2565 Robinhood จะเริ่มโรดโชว์กับเหล่านักลงทุนเพื่อระดมทุนต่อยอดแผนธุรกิจขยายจากธุรกิจอาหารไปยังบริการอื่นๆ เน้นการบริการที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

Robinhood ตั้งเป้าว่าปีหน้าธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทจะมีการเติบโตต่อเนื่อง เเบ่งเป็นธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ หลังขยายไปยังต่างจังหวัดจะต้องมีผู้ใช้งาน 4 ล้านบัญชี เพิ่มร้านค้าเป็น 3 แสนร้าน

ส่วนธุรกิจท่องเที่ยว ต้องมีโรงแรม ที่พัก และผู้ให้บริการทัวร์ต่าง ๆ ลงทะเบียนกับระบบ 45,000 ราย มีการจองมากกว่า 4.8 แสนครั้งโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยในท้องถิ่น

บริการ Mart Service ต้องมีผู้ใช้งาน 1.5 ล้านราย และมี 8,000-10,000 ร้านค้าที่ไม่เคยเข้าร่วมกับแพลตฟอร์มใด ๆ อยากมาจำหน่ายสินค้ากับ Robinhood

ส่วนธุรกิจ Express เจากลุ่มอีคอมเมิร์ซ ต้องมีลูกค้าองค์กรมากกว่า 5,000 ราย และมีการใช้บริการอย่างน้อย 4,000 ครั้งต่อเดือน

สำหรับการบุกตลาด Online Travel Agent นั้น ผู้บริหาร Robinhood มองว่าเป็นธุรกิจที่มีความท้าทายสูง การเเข่งขันสูง เเละก็มีศักยภาพสูงเช่นกัน ยิ่งในประเทศไทยที่พึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวเป็นหัวใจหลัก

การผสานระหว่าง Food และ Travel น่าจะไปด้วยกันได้ดี เช่นอาจจะมีการจองโรงเเรมเเล้วเเถมโปรโมชันส่งอาหารจาก Robinhood ฟรี

ด้านรูปเเบบการการหารายด้ ยังยืนยันว่า จะมีไมีการเก็บค่า GP จากร้านอาหารโรงแรมที่เข้าร่วมบนแพลตฟอร์ม เเต่จะไปหารายได้ผ่านช่องทางอื่น อย่างการ รายได้จากค่าโฆษณา , รายได้จากการเก็บ GP ในธุรกิจ Mart Service, Express และ Non-Travel Services เเละการต่อยอดทำธุรกิจสินเชื่อ (Lending)

ยอมรับว่าปีหน้า เราก็ยังจะขาดทุนเหมือนเดิม เพราะเราไม่เก็บ GP ร้านอาหารและธุรกิจท่องเที่ยว เเต่จะมีรายได้เข้ามาจากธุรกิจ Mart – Express ซึ่งเราจะเก็บให้น้อยที่สุดในตลาด คิดว่าจะขาดทุนไปอีกสัก 1-2 ปี เเต่สิ่งสำคัญคือการขาดทุนจะลดน้อยลงเรื่อยๆ นักลงทุนจึงจะพิจารณาจากศักยภาพในการเติบโตในอนาคตมากกว่า

 

]]>
1358288
Sizzler ลดราคาเมนู Plant-based ดึงลูกค้ามาลองชิม ปรับรสชาติให้เป็น ‘สไตล์ไทย’ มากขึ้น https://positioningmag.com/1356091 Mon, 11 Oct 2021 09:38:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1356091 เผชิญกับความท้าทายไม่มีหยุดกับ ‘Sizzler’ ร้านอาหารที่มีจุดเด่นเรื่องบรรยากาศไดน์อิน ที่ต้องเจอมรสุมการล็อกดาวน์ซ้ำเเล้วซ้ำเล่า

การผ่อนคลายมาตรการครั้งนี้ เป็นโอกาสทองที่ต้องรีบคว้า ทั้งอัดเเคมเปญโปรโมชั่น พร้อมทั้งหา เเนวทางใหม่ๆ เมนูใหม่ๆ ดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาเข้าร้านในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ชดเชยรายได้ที่หายไป

หนึ่งในนั้นก็คือ การลุยตลาด ‘Plant-based’ เนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช อย่างเต็มที่ ตามเทรนด์กระเเสนิยมมาเเรงทั่วโลก ซึ่งหลังจากที่ Sizzler ชิมลางวางขายมาตั้งเเต่ปลายปี 2562 ก็มีเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคคนไทย เเละก็ถึงเวลาต่อยอด ขยายไปให้มากขึ้นกว่าเดิม

Sizzler ปล่อยเมนู Plant-based ออกมาใหม่ทุกๆ 6 เดือน เฉลี่ยซีซั่นละ 3 เมนู (รวมๆ ที่ผ่านมามีประมาณ 12 เมนู) เเละล่าสุดตอนนี้ก็มีการเปิดตัว 2 เมนู Plant-Based มาลงเมนูประจำรับไดน์อินและเดลิเวอรี่

เเต่จุดเด่นครั้งนี้เเตกต่างไปจากเดิม นั่นคือการได้เรียนรู้ถึงวิธีปรุงรสชาติ Plant-based ให้ถูกปากคนไทย จึงมีการปรับเมนูเป็นสไตล์ไทยมากขึ้น พร้อมปรับลดราคาลงมา ซึ่งยังไม่ค่อยมีเชนร้านเฮลท์ตี้เฮาส์ในไทยทำ
เเนวนี้กันมากนัก

เทรนด์อาหารเเห่งอนาคต ที่โตไม่หยุด

เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น ยิ่งเกิดโควิด-19 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเร่งทำให้พฤติกรรมการเลือกรับประทานอาหารของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ซึ่ง Plant-based Food ก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปเต็มๆ

การเติบโตของตลาดอาหาร Plant-based ทั่วโลกเมื่อปี 2563 มีมูลค่าราว 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าราว 8.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ส่วนตลาดในประเทศไทย ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตของผู้บริโภคอาหาร Plant-based เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

จากข้อมูลของ Krungthai COMPASS พบว่า ในปี 2562 มีมูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท และยังคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นถึง 4.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% เลยทีเดียว

กรีฑากร ศิริอัฐ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอสแอลอาร์ที จำกัด ในเครือ บมจ. เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ผู้บริหาร ซิซซ์เล่อร์ เล่าว่า ตลาด Plant-based เติบโตขึ้นมาก ทั้งในส่วนฐานผู้บริโภคเเละบรรดาเหล่าผู้ผลิต โดยที่ผ่านมา มักมีผู้ผลิตมาเสนอเป็นพาร์ทเนอร์กับ Sizzler เพียง 2-3 ราย เเต่ตอนนี้มีมากกว่า 10 ราย

ปัจจุบันเเบรนด์ Sizzler เลือกจับมือกับ บียอนด์ มีทและกรีนมันเดย์ ซึ่งเป็นเจ้าใหญ่ในตลาดโลก เเต่ก็คอยมองหาซัพพลายเออร์รายอื่นๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะในไทย

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เเบรนด์ Sizzler ต้องการจะขยายเจาะตลาดเมนู Plant-based ได้เเก่

  • กลุ่มคนที่ทานวีแกน เเละ Plant-Based อยู่เเล้ว ถ้ามาทานที่ร้านก็สามารถสั่งเมนูสเต๊กได้ ไม่จำกัดว่าจะต้องไปทานเเต่สลัดบาร์อีกต่อไป
  • กลุ่มคนที่ทานเมนูปกติทั่วไป ที่อยากลองทานเมนู Plant-based หรือคนที่อยากดูเเลสุขภาพ ไปพร้อมๆ กับการรักษ์โลก ต้องการทานวีเเกนประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

Sizzler ตั้งเป้าว่าในปี 2565 เมนู Sizzler จะสามารถสร้างรายได้เติบโตราว 30%” 

เมนูไทยๆ เเถมปรับราคาลง 

ตามที่เกริ่นไปข้างต้นว่า Sizzler ได้ปรับเมนู Plant-based ให้เป็นถูกปากคนไทยมากขึ้น เห็นได้ชัดผ่านเมนูใหม่ที่เปิดตัวใน 30 สาขา ได้เเก่

ออมนิมีท ลาบทอด เสิร์ฟพร้อมข้าวเหนียว เมนูลาบทอดจากโปรตีนพืชในสไตล์ไทย ๆ กับรสชาติเเซ่บๆ แบบฉบับอีสานแท้ ในราคา 299 บาท เเละยังเสิร์ฟเป็นเมนูทานเล่นที่ลูกค้าสามารถสั่งแยกมารับประทานระหว่างรออาหารจานหลักได้ในราคา 99 บาท รวมถึงสั่งเดลิเวอรี่ไปลิ้มลองได้ถึงที่อีกด้วย

สเต๊ก บียอร์น กัวคาโมเล่ และซัลซา เป็นสเต๊กเนื้อที่ไร้เนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม สไตล์เม็กซิกัน ราดด้วยกัวคาโมเล่ที่ทำจากอะโวคาโดบด และซัลซา รวมถึงเผือกทอดด้านบนสุด ในราคา 399 บาท ซึ่งรสชาติที่เผ็ด เปรี้ยว หวาน ลงตัวน่าจะถูกใจคนไทยเช่นเดียวกัน

เเละเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าหันมาลองเมนู Plant-based กันมากขึ้น Sizzler ใช้กลยุทธ์ “ปรับลดราคาของเมนู Plant-based” ลงมาเรื่อยๆ เช่น ในช่วงเริ่มต้นประเดิมราคาที่ 439-479 บาท ในปีที่เเล้วปรับลงมาเป็น 329-399 บาท เเละล่าสุดตอนนี้คือมีราคาเฉลี่ยเริ่มต้นตั้งแต่ 99 – 399 บาท นับเป็นการปูทางสร้างความคุ้นเคยในระยะยาว มีเมนูหลากหลายสไตล์ตลอดทั้งปี ขยายฐานลูกค้าเป็นร้อยเป็นพันคนให้ได้

นอกจาก ลดราคาเเล้ว ในบางโอกาสก็จะมีการนำเนื้อ Plant-based ไปลองใส่ในเมนูสลัดบาร์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ลองชิมอย่างกว้างขวางขึ้นด้วย

-สเต๊ก บียอร์น กัวคาโมเล่ และซัลซา

Sizzler สาขาใหม่…สายเล็ก

วิกฤตโควิด-19 ทำให้ร้านอาหารได้เรียนรู้ถึงการปรับตัวเร็วเเละการขายโดยเน้นหน้าร้านเพียงอย่างเดียวคือความเสี่ยง

ปัจจุบัน Sizzler มีฐานลูกค้าทั้งหมดอยู่ราว 8-9 ล้านคน มีร้านทั้งหมด 54 สาขาทั่วประเทศไทย กลับมาเปิดให้บริการเเล้วเกือบทั้งหมด (ยังปิดชั่วคราวอยู่ 1 สาขา) โดยภายในสิ้นปีนี้ หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น ทางเเบรนด์ยังมีเเผนจะขยายสาขาใหม่ตามเดิม อีก 5 สาขา เเบ่งเป็น 3 สาขาใหม่ เเละอีก 2 สาขาเป็นการย้ายสถานที่เเต่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเดิม 

ประเด็นที่น่าจับตามอง คือ ต่อจากนี้ร้านใหม่ของ Sizzler จะมีขนาด ‘เล็กลง’ จากเดิมที่สาขาใหญ่ๆ เคยกว้างขวางถึง 600 ตร.ม. ลดลงเหลือราว 300-280 ตร.ม. ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สั่งเดลิเวอรี่กันมากขึ้น เเละอีกด้านหนึ่งก็คือการที่ห้างสรรพสินค้าต้องการจัดสรรพื้นที่ให้หลากหลาย เพื่อดึงดูดลูกค้า ที่ตั้งของร้านต่างๆ จึงมีขนาดเล็กลง เเต่ภายในห้างฯ จะมีเเบรนด์ให้เลือกมากขึ้น

สานต่อโมเดล to go พร้อมขยายเดลิเวอรี่ 

ด้านโมเดล Sizzler to go เจาะกลุ่มคนเดินทาง ที่ต้องสะดุดเพราะวิกฤตโควิดหลายรอบ หลังคลายล็อกดาวน์รอบนี้ก็ดูเหมือนจะมีความหวังอีกครั้ง เเต่ยังไม่มีเเผนจะขยายสาขาเพิ่มในปีนี้ ปีหน้าเมื่อการเดินทางกลับมา ก็มองว่าเป็นโอกาสที่ดี (ตอนนี้มีอยู่ 5 สาขาในกรุงเทพฯ) เพราะเป็นการขยายตลาดเข้าหาผู้บริโภคที่ต้องการความง่าย รวดเร็วเเละต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ เเถมยังมีขนาดเล็กลง ตามเเนวทางของเเบรนด์

ร้าน Sizzler To Go สาขาล่าสุดที่เปิดในโรงพยาบาลกรุงเทพ ก็เป็นอีกหนึ่งทำเลที่แบรนด์ตั้งใจจะขยายไปในพื้นที่ใหม่ ซึ่งจะมีการมองหาโอกาสใหม่ๆ ในลักษณะนี้อีกต่อไป

ส่วนฝั่งของ ‘เดลิเวอรี่’ นั้น ผู้บริหาร Sizzler บอกว่า มีการเติบโตถึง 3 เท่าจากช่วงก่อนโควิด ซึ่งตอนนี้สัดส่วนการขายออนไลน์สูงถึง 15-20% เเล้ว ถือว่ามากเเละเร็วกว่าที่คิดไว้ถึง 2-3 ปี โดยมียอดสั่งซื้อเฉลี่ยราว 500 บาทต่อบิล

“ยอมรับว่าปีนี้หนักกว่าปีที่เเล้วมาก เพราะโดนล็อกดาวน์นานกว่า เเต่พอเปิดให้นั่งทานที่ร้านได้ ลูกค้ากลับมาเร็วกว่าเพราะหลายคนอัดอั้น อยากออกมาใช้ชีวิตปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี โดยทิศทางธุรกิจปีหน้าคงจะดีขึ้นตามลำดับ หลังมีการกระจายวัคซีนเเละเริ่มเปิดเมืองอีกครั้ง”

โดย Sizzler จะมี ‘บิ๊กโปรเจ็กต์’ ที่สร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกหน้าหน้าใหม่ในมุมที่เเตกต่าง โดยกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะเปิตตัวได้เร็วที่สุดในช่วงกลางปีหน้า เเต่จะเป็นอะไรนั้น ทางผู้บริหารบอกว่าขออุ๊บไว้ก่อน…ต้องติดตามกันต่อไป 

 

]]>
1356091
ผ่าตลาดแรงงานครึ่งปีแรก “ท่องเที่ยว-โรงแรม-การบิน” ยังเคว้งอีกยาว “อาหาร” ยังต้องการสูง https://positioningmag.com/1344486 Thu, 12 Aug 2021 14:12:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1344486 ผ่าตลาดแรงงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 คนไทยยังมีความต้องการสมัครงานสูง การแข่งขันสูงขึ้น กลุ่มอาหาร ยานยนต์ และบริการ ยังมีความต้องการสูงที่สุด ส่วนกลุ่ม “ท่องเที่ยว-โรงแรม-การบิน” ยังเคว้งอีกยาว หลายองค์กรเริ่มเปิดรับการทำงานแบบ Work from Home มากขึ้น

โลกการทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับตลาดแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดทำให้เกิดนวัตกรรม เกิดอาชีพใหม่ๆ ตลอดจนปัญหาระบบการศึกษาที่ไม่สามารถผลิตคนได้ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับตลาดแรงงานเป็นวงกว้าง

แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการของจ๊อบไทย (JobThai) เปิดเผยถึงข้อมูลการหางาน สมัครงาน จากการรวบรวมข้อมูลในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 พร้อมวิเคราะห์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับตลาดแรงงานไทย พบว่า ในเดือนมกราคม – มิถุนายน 2564 มีผู้ต้องการหางาน สมัครงาน เพิ่มขึ้นกว่าปี 2563

Photo : Shuttetstock
  • มีผู้ใช้งานสะสมมากกว่า 13 ล้านคน เติบโตขึ้น 17%
  • มีการสมัครงาน 9.6 ล้านครั้ง เติบโตขึ้น 8%
  • องค์กรมีการเปิดรับพนักงานรวมทั้งหมด 772,145 อัตรา เพิ่มขึ้น 13.70%
  • ในช่วงที่ผ่านมาหลายองค์กรมีการเปิดรับบุคลากรโดยสามารถทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) หรือทำงานทางไกล (Remote Working) 11,036 อัตรา เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3-4 ปี 2563 18.70%
  • องค์กรยังเปลี่ยนมาสัมภาษณ์งานทางออนไลน์มากถึง 78,101 อัตรา เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3-4 ปี 2563 ถึง 208.10%

สำหรับข้อมูลความต้องการแรงงาน และความต้องการของผู้สมัครงานทั่วประเทศ ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2564 มีดังนี้

5 ประเภทธุรกิจมีความต้องการแรงงานมากที่สุด

  1. ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม 66,977 อัตรา

องค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเครื่องดื่มในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, บริษัท ไทย อกริ ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม อาหารสำเร็จรูป อาทิ อาหารกระป๋อง และอาหารแช่แข็งเพื่อการส่งออก, บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคคา-โคล่า และผลิตภัณฑ์อื่นๆ

2. ธุรกิจยานยนต์/ชิ้นส่วนยานยนต์ 57,390 อัตรา

องค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัท ท็อปเบส์ท จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนโครงสร้าง ตัวถัง ประกอบรถโดยสาร และตัวถังรถบรรทุก และจัดจำหน่ายรถโดยสารและรถบรรรทุกเพื่อการพาณิชย์, MAXXIS INTERNATIONAL (THAILAND) CO.,LTD. ผู้ผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์, บริษัท สยามกลการอุตสาหกรรม จำกัด ผู้นำเข้า จัดจำหน่ายและบริการซ่อม และอะไหล่ รถ Forklift ในแบรนด์ของ Unicarrier ประเทศไทย

3. ธุรกิจบริการ 51,822 อัตรา

องค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัท เอ็มโอแค็ป จำกัด ซึ่งทำธุรกิจด้าน Outsourcing Contact Center, บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจด้าน Customer Service Management, Thailand YellowPages ผู้บุกเบิกธุรกิจการให้บริการค้นหาข้อมูล รายชื่อ และหมายเลขโทรศัพท์ขององค์กรธุรกิจ การค้นหาสินค้า และบริการต่างๆ เป็นรายแรกของประเทศไทย

4. ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง – รับเหมาก่อสร้าง 50,132 อัตรา

องค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัทดูโฮม จำกัด (มหาชน) ผู้จำหน่ายวัสดุก่อสร้างครบวงจร, บริษัท เจ ดับบลิว เอส คอนสตรัคชั่น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านรับเหมาก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีก่อสร้างชั้นสูง, บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด แหล่งรวมสินค้า และวัสดุอุปกรณ์เพื่อการตกแต่งซ่อมแซมที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร

5. ธุรกิจขายปลีก 47,956 อัตรา

องค์กรที่มีความต้องการแรงงานมากในธุรกิจนี้ เช่น บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด หรือโลตัส ประเทศไทย, บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภค, วัตสัน ประเทศไทย ร้านเพื่อสุขภาพ และความงาม

5 สายงานที่มีการเปิดรับมากที่สุด

สายงานที่มีการเปิดรับมากที่สุด ได้แก่

  1. งานขาย 158,753 อัตรา
  2. งานผลิต/ควบคุมคุณภาพ 89,279 อัตรา
  3. งานช่างเทคนิค/อิเล็กทรอนิกส์ 83,440 อัตรา
  4. งานธุรการ/จัดซื้อ 43,574 อัตรา
  5. งานวิศวกร 40,697 อัตรา
Photo : Shutterstock

5 สายงานไอทีที่มีการเปิดรับมากที่สุด

  1. โปรแกรมเมอร์ (Programmer) 12,296 อัตรา

ทำหน้าที่พัฒนาระบบซอฟต์แวร์รวมถึงดูแลระบบ ให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ

ทักษะที่จำเป็น : ทักษะการเขียนโปรแกรมและความรู้ด้านภาษาคอมพิวเตอร์ โดยมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาที่นิยมใช้ เช่น JavaScript, C#, Python และ PHP

2. ไอทีแอดมิน/เน็ตเวิร์กแอดมิน (IT Admin/Network Admin) 5,629 อัตรา

ทำหน้าที่ดูแลระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบเน็ตเวิร์ก ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อให้พนักงานแผนกต่าง ๆ สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น

ทักษะที่จำเป็น : มีความรู้ความสามารถในเรื่องของระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ และระบบเน็ตเวิร์ก

3. เทคนิคซัพพอร์ต (Technical Support/Help Desk) 3,598 อัตรา

ทำหน้าที่ดูแลการใช้งานโปรแกรมและอุปกรณ์ต่างๆ ของพนักงานภายในบริษัท และช่วยเหลือให้คำแนะนำเรื่องการใช้โปรแกรมกับลูกค้าหากเกิดปัญหาขึ้น

ทักษะที่จำเป็น : มีความรู้ความสามารถในเรื่องการใช้งานและแก้ปัญหาโปรแกรมต่าง ๆ

Bearded IT Technician in Glasses with Laptop Computer and Black Male Engineer Colleague are Using Laptop in Data Center while Working Next to Server Racks. Running Diagnostics or Doing Maintenance Work

4. วิศวกรคอมพิวเตอร์ (Computer Engineering) 2,354 อัตรา

ทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาระบบและสถาปัตยกรรมทางด้านคอมพิวเตอร์ครอบคลุมทั้งในส่วนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของระบบ

ทักษะที่จำเป็น : มีความรู้ด้านระบบ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และการออกแบบสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์

5. นักทดสอบซอฟต์แวร์ (Software Tester) 1,961 อัตรา

ทำหน้าที่ทดสอบซอฟต์แวร์เพื่อค้นหาข้อผิดพลาด ตรวจสอบคุณภาพของระบบซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้คนใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทักษะที่จำเป็น : ความรู้พื้นฐานทางด้าน Software Testing, การวิเคราะห์ ออกแบบการ Test

นอกจากสายงานที่กล่าวไปข้างต้นแล้วยังมีอาชีพงานไอทีที่น่าจับตามองอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิศวกรความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security), นักพัฒนาบล็อกเชน (Blockchain Developer), นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist), นักพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Engineer)

กระทบการจ้างงานนักศึกษาจบใหม่

ในแต่ละปีจะมีนักศึกษาจบใหม่เข้ามาในตลาดแรงงาน ซึ่งในปีนี้นักศึกษาจบใหม่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากโควิด-19 โดยในจ๊อบไทยมีบัญชีผู้ใช้งานที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ 178,399 คน คิดเป็น 17.14% ของจำนวนผู้สมัครงานทั้งหมดในแพลตฟอร์ม ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้

  • สายงานที่เปิดรับนักศึกษาจบใหม่มากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.งานขาย 35,031 อัตรา 2.งานช่างเทคนิค/อิเล็กทรอนิกส์ 14,074 อัตรา 3.งานผลิต/ควบคุมคุณภาพ 11,332 อัตรา 4.งานบริการ 8,777 อัตรา และ 5.งานวิศวกร 7,677 อัตรา
  • สายงานที่มีนักศึกษาจบใหม่สมัครมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่ 1.งานธุรการ/จัดซื้อ 60,780 คน 2.งานผลิต/ควบคุมคุณภาพ 47,137 คน 3.งานขาย 36,980 คน 4.งานวิศวกร 30,565 คน และ 5.งานขนส่ง-คลังสินค้า 28,344 คน

นักศึกษาจบใหม่ท่องเที่ยว / โรงแรม / การบินเคว้ง

ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม หรือการบิน ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตรง ทำให้องค์กรต่างๆ ไม่มีการจ้างงานในสายนี้เพิ่มมากนัก นักศึกษาจบใหม่ในสาขานี้จึงได้รับผลกระทบไปด้วย

โดยข้อมูลจาก กลุ่มบนเฟซบุ๊ก “JobThai Official Group เพื่อการหางาน หาคน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน” ซึ่งมีสมาชิกภายในกลุ่มกว่า 200,000 คน พบว่าประเด็นในการพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาของเด็กจบใหม่ในสาขาดังกล่าว มีดังนี้

  • การหางานด้านท่องเที่ยว โรงแรมยาก ทำให้ว่างงานนานขึ้น
  • คนที่ทำงานด้านท่องเที่ยว โรงแรม เช่น ไกด์ พนักงานในโรงแรม พนักงานบริษัททัวร์ ถูกลดเงินเดือน ให้ลาไม่รับค่าจ้าง ตลอดจนถูกปลด เนื่องจากบริษัทต้องหยุดดำเนินกิจการชั่วคราวหรือถาวร
  • ต้องหางานข้ามสายซึ่งต้องแข่งขันกับคนที่จบมาตรงสาย

ด้านข้อมูลในจ๊อบไทยพบว่า 5 สายงานที่นักศึกษาจบใหม่ด้านท่องเที่ยว/โรงแรมสมัครมากที่สุด ได้แก่ 1.งานธุรการ/จัดซื้อ 11,590 ครั้ง 2.งานบริการ 5,998 ครั้ง 3.งานขาย 5,682 ครั้ง 4.งานบุคคล/ฝึกอบรม 3,127 ครั้ง และ 5.งานการตลาด 2,633 ครั้ง

ในสถานการณ์นี้ปฏิเสธไม่ได้ว่านักศึกษาจบใหม่ในธุรกิจท่องเที่ยว/โรงแรม/การบิน ต้องเพิ่มโอกาสในการหางานจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัว โดยต้องนำทักษะที่มีไปต่อยอดใช้กับสายงานอื่น (Transferable Skills) อย่างคนที่มีทักษะความสามารถทางภาษาอาจมองหาโอกาสในสายงานดูแลลูกค้าหรือบริการในธุรกิจอื่น ๆ  ที่ไม่ได้รับผลกระทบมาก หรือ งาน Account Executive ในเอเจนซี่ ซึ่งเป็นการใช้จุดแข็งทางด้านภาษาและการสื่อสารที่มีอยู่แล้ว และเพิ่มคอร์สเรียนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ รวมทั้งการใช้ Social Media ก็จะทำให้โปรไฟล์เข้าตา HR มากขึ้นได้ หรืออาชีพเสริมอื่น ๆ เช่น ติวเตอร์สอนภาษา เนื่องจากช่วงนี้นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ก็อาจเป็นโอกาสในการทำงานของเราได้

]]>
1344486
ขนส่งสินค้าออนไลน์สะดุด ‘โควิด’ ชั่วคราว ตลาดยังโตได้ ต้องสู้ตัดราคา-เเบกต้นทุนมากขึ้น  https://positioningmag.com/1345391 Thu, 05 Aug 2021 10:00:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1345391 โควิดระบาดรุนเเรงบวกมาตรการล็อกดาวน์ต่อเนื่อง กระทบภาคขนส่งสะเทือนธุรกิจขายของออนไลน์ KBANK มองเป็นปัญหาชั่วคราวต่อการจัดส่งสินค้า เเต่ภาพรวมตลาดปีนี้ ยังเติบโตได้ 7.1 หมื่นล้านเเต่จะโตน้อยลง ต้องสู้เเข่งตัดราคา-เเบกต้นทุนมากขึ้น 

ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์ หรือ Last-mile delivery เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ขยายตัวตามการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคกังวลในเรื่องของความปลอดภัยและงดทำกิจกรรมนอกบ้าน มีการปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายและหันมาซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น จึงหนุนให้ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย

สะดุด เจอพนักงานติดโควิด 

เเต่จากการระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้น จนทำให้ปัจจุบันมีพนักงานขนส่งสินค้าออนไลน์ของหลายบริษัทและในหลายพื้นที่ติดเชื้อโควิด โดยเฉพาะในเขตพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น กรุงเทพฯ นนทบุรี อยุธยา ชลบุรี ประกอบกับการขยายมาตรการล็อกดาวน์ออกไปอีกอย่างน้อย 14 วันในเดือนสิงหาคม 2564 (อาจมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนมาตรการอีกครั้ง) จนส่งผลให้ศูนย์กระจายสินค้าที่สำคัญในบางพื้นที่ รวมถึงสาขาที่รับ-ส่งสินค้าบางแห่ง ทั้งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าและนอกห้างสรรพสินค้าต้องปิดทำการชั่วคราว

“บางสาขาที่ยังคงเปิดให้บริการได้นั้น ก็ได้รับผลกระทบเนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ปลายทางที่นานขึ้นกว่าช่วงปกติ” 

เหล่านี้ ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์อาจได้รับผลกระทบและทำให้การจัดส่งสินค้าออนไลน์ติดขัดเป็นการชั่วคราว ประกอบกับการแข่งขันของธุรกิจที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันเรื่องราคาค่าขนส่งสินค้า

“ธุรกิจขนส่งในภาพรวมปีนี้ แม้คาดว่ารายได้จะยังคงเติบโต แต่ก็เผชิญความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ” 

shopping online

สินค้าอาหาร-ของสด กระทบหนักสุด

การจัดส่งสินค้าออนไลน์ในกลุ่มอาหาร (Food) น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าสินค้าในกลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร (Non-food) เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่เน่าเสียง่าย ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารแห้ง ผัก ผลไม้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มสินค้าจำเป็นที่คาดว่าผู้บริโภคน่าจะยังคงมีการวางแผนใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นในช่วงที่โควิดระบาด

แต่เมื่อขนส่งไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ หรือใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ รวมถึงยานพาหนะที่ใช้ในการจัดส่งสินค้ากลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เอื้อต่อการจัดเก็บหรือควบคุมคุณภาพได้นาน สินค้ามีความเน่าเสียได้ง่าย จึงทำให้ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างมาก จนผู้ประกอบการบางราย บางพื้นที่ต้องงดรับการจัดส่งสินค้าในกลุ่มนี้เป็นการชั่วคราว

ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร (Non-food) หรือสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ของตกแต่งบ้าน เนื่องจากยอดขายได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดตัว และใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้

ดังนั้น สถานการณ์ดังกล่าว ก็อาจจะกระทบต่อการจัดส่งสินค้ากลุ่มนี้ในระดับที่น้อยกว่า หรือหากมีคำสั่งซื้อมองว่าผู้บริโภคบางรายก็อาจจะรอสินค้าได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เหตุการณ์ดังกล่าว น่าจะเป็นปัญหาชั่วคราว และจากการเร่งแก้ปัญหาและการปรับตัวของผู้ประกอบการ ส่งผลให้สาขาในบางพื้นที่ที่ปิดทำการชั่วคราวเริ่มกลับมาเปิดทำการได้บ้าง แต่ยังคงต้องรอสินค้าที่นานกว่าช่วงปกติ

ขนส่งต้องสู้เเข่งตัดราคา-เเบกต้นทุนมากขึ้น 

ส่วนรายได้ของธุรกิจจัดส่งสินค้าออนไลน์ ในภาพรวมปี 2564 ยังคงขยายตัวได้จากการระบาดของโควิดที่ยังคงหนุนให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น แต่การเติบโตคาดว่าจะชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักๆ มาจากการแข่งขันด้านราคาค่าส่งสินค้า อีกทั้งยังต้องเผชิญกับต้นทุนในการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น

แม้ว่าการระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่งสินค้าให้หยุดชะงักลงเป็นการชั่วคราวในบางพื้นที่ แต่เนื่องจากผู้บริโภคยังคงกังวลกับการออกไปใช้จ่ายหรือทำกิจกรรมนอกบ้าน การประกาศล็อกดาวน์ของภาครัฐ อีกทั้งผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ มีการอัดโปรโมชันกันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ 

“ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์ในปัจจุบันที่แข่งขันกันรุนแรงจากจำนวนผู้เล่นในตลาดมากราย โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาค่าขนส่งของผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ต้องปรับตัวตาม และท้ายที่สุดหากผู้ประกอบการรายใดไม่สามารถแบกรับหรือบริหารจัดการต้นทุนได้ ก็อาจจะเผชิญการแข่งขันที่ยากลำบากขึ้น” 

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า แม้ว่ารายได้ของธุรกิจจัดส่งสินค้าออนไลน์ (Last-mile delivery) ในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 71,800 ล้านบาท ขยายตัว 19.0% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวถึง 31.3%

แต่หากพิจารณาในส่วนของต้นทุนในการบริหารจัดการคาดว่าน่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะต้นทุนที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการโควิดเพื่อสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและพนักงาน ต้นทุนจากการจ้างพนักงานเพิ่มขึ้น (ทดแทนพนักงานที่ติดโควิด และรองรับกับคำสั่งซื้อออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น) 

รวมถึงต้นทุนในการบริหารจัดการเส้นทางการส่งสินค้าใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางเดิมที่มีปัญหา ในขณะที่ต้องลดราคาค่าขนส่งให้ถูกลง เพื่อให้ธุรกิจแข่งขันได้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าผลประกอบการของผู้ประกอบการบางรายยังคงประสบภาวะขาดทุน

เเนะลงทุนเพื่อความปลอดภัย ให้ลูกค้ามั่นใจสั่งของ 

การเติบโตของรายได้ธุรกิจขนส่งสินค้าออนไลน์ในภาพรวมที่อัตรา 2 หลัก อาจจะไม่ได้สะท้อนถึงผลประกอบการสุทธิที่ดีขึ้นของผู้ประกอบการได้ทุกราย และเมื่อมองไปข้างหน้า ด้วยสถานการณ์การระบาดที่ยังไม่คลี่คลาย ความเสี่ยงต่างๆ ยังคงเกิดขึ้นได้ ก็น่าจะทำให้ต้นทุนในการบริหารจัดการโควิดของผู้ประกอบการยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยจากโรค การกระจายศูนย์กระจายสินค้าไปยังพื้นที่ศักยภาพใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงการให้บริการเรื่องของสินค้าที่ครบวงจร 

หากผู้บริโภคมีความกังวลและไม่มั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยจนทำให้มีการสำรองสินค้ามากขึ้นเพื่อลดจำนวนครั้งในการสั่งซื้อ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการจัดส่งที่น้อยลงและส่งผลต่อผลประกอบการของธุรกิจตามมา

โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีข้อจำกัดในเรื่องของการบริหารจัดการต้นทุน เงินทุน และการปรับตัวที่ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์และพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ทัน ซึ่งน่าจะยังคงเผชิญความยากลำบากในการแข่งขัน

 

 

 

]]>
1345391
โอกาสอาหารทางเลือก อียูอนุมัติ ‘หนอนนก’ วางขายได้ในซูเปอร์มาร์เก็ต-ร้านอาหารทั่วยุโรป https://positioningmag.com/1330455 Wed, 05 May 2021 04:40:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1330455  ‘หนอนนกอบเเห้งกำลังจะได้วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตเเละร้านอาหารทั่วยุโรป ในเร็วๆ นี้  มองตลาดโตได้ดี ตามเทรนด์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพเเบบใหม่

โดยทั้ง 27 ประเทศที่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) ไฟเขียวให้หนอนนกหรือ ‘mealworm’ สามารถวางจำหน่ายได้ทั่วไปในฐานะ ‘novel food’ อาหารทางเลือกที่ใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ ที่มีความปลอดภัยในการบริโภค

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว มีขึ้นหลังหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารของสหภาพยุโรป ได้เผยเเพร่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปีนี้ว่า หนอนนกสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย สามารถทานได้ทั้งตัวหรือในรูปแบบผงสกัด หรือนำมาปรุงเป็นอาหารว่าง เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโปรตีนสูง อย่างไรก็ตาม การเเพ้หนอนนกอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ที่เคยมีอาการแพ้กุ้ง สัตว์น้ำเปลือกแข็งหรือไรฝุ่น เป็นต้น

แมลงถือเป็นอาหารอย่างหนึ่ง ที่ปัจจุบันเเม้จะยังมีส่วนเเบ่งในตลาดน้อยมาก เเต่ก็มีโอกาสเติบโตได้ เป็น
เทรนด์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพเเบบใหม่

คาดว่าตลาดแมลงที่กินได้จะมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.4 เเสนล้านบาท) ภายในปี 2027 เเละยังมีเมนูของแมลงอื่นๆ อีก 11 ชนิด ที่กำลังรอการประเมินความปลอดภัยจากสหภาพยุโรป

เจ้าหน้าที่ของอียูให้ความเห็นว่า การเพาะเลี้ยงเเมลงเพื่อนำมาเป็นอาหารนั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าการเลี้ยงวัวและแหล่งโปรตีนขนาดใหญ่อื่นๆ 

ด้านองค์การอาหารและเกษตรของสหประชาชาติ ระบุว่าเเมลงเป็นแหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยไขมัน โปรตีน วิตามิน เส้นใยเเละเเร่ธาตุสูง

ทั้งนี้ หลังหนอนนกได้รับการอนุมัติจากประเทศในสหภาพยุโรปเเล้ว จะสามารถวางจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ ได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

 

 

ที่มา : AP , Aljazeera

]]>
1330455
รวมกันเราอยู่! CRG รุกโมเดล Shop in Shop ขายพ่วงแบรนด์ในเครือ อัพเซลส์-ไขว้ฐานลูกค้า https://positioningmag.com/1325415 Tue, 30 Mar 2021 04:13:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1325415 ธุรกิจร้านอาหารพลิกเกมใหม่ หลังวิกฤต COVID-19 ยักษ์ใหญ่อย่าง CRG เปิดกลยุทธ์ทรานส์ฟอร์มสู่ร้านอาหารดิจิทัล  ตั้งเป้าขยายสาขาโมเดลใหม่ กระจาย ‘คลาวด์คิทเช่น’ ให้ได้ 50 แห่งภายใน 2 ปี เน้นส่งเดลิเวอรี่ ดัน Mobile Box Model บุกปั๊มน้ำมัน 

โดยจะเชื่อมเครือข่ายร้านอาหาร 16 แบรนด์ทำ Shop in Shop & Cross Sale ไปพร้อมๆ กับการมองหาพาร์ตเนอร์สตรีทฟู้ด-SMEs’ ทุ่มพันล้านขยายสาขา-รีโนเวตระบบหลังบ้าน ลุ้นเปิดร้านอาหารใหม่เพิ่มอีก 2-3 แบรนด์ พร้อมลงสนาม ‘กัญชา-กัญชง’

ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เล่าว่า เเม้ธุรกิจอาหารจะปรับตัวโดยการส่งเดลิเวอรี่ เเต่วิกฤตโรคระบาดกระทบธุรกิจไม่น้อย เพราะต้องขาดนักท่องเที่ยวเเละต้องปิดร้านชั่วคราวตามมาตรการรัฐ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปวิธีคิดเเละเเผนธุรกิจต่างๆ ก็เปลี่ยนไปด้วย

ในปี 2020 CRG ทำยอดขายรวมได้ราว 10,100 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับปีที่เเล้ว ส่วนยอดขายออนไลน์อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 150%

โดยมองธุรกิจอาหารในไทยจะกลับมาฟื้นได้ในปีนี้ เเละหวังจะทำยอดขายให้ทะลุ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 18-20% เพิ่มจำนวนสาขาอีก 200 เเห่งเป็น 1,300 สาขา เน้นเปิดสาขาเล็กๆเเละโปรโมตผ่านออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง

ในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา CRG ปรับกลยุทธ์ในการขยายโมเดลร้านค้ารูปแบบใหม่ๆ หาช่องทางการขายอื่นๆ นอกเหนือหน้าร้าน กลายเป็นโมเดลร้านนอกห้างเพื่อกระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพิงศูนย์การค้า

สำหรับมูลค่าตลาดธุรกิจร้านอาหารในไทย ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 3.7 เเสนล้านบาท ลดลงราว 10% จากระดับ 4 เเสนล้านบาทในช่วงก่อนโรคระบาด โดยตลาดใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มร้านคาเฟ่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่นราว 2.5 หมื่นล้านบาท เเละร้าน Hot-Pot ปิ้งย่างที่ราว 2 หมื่นล้านบาท 

รวมกันเราอยู่ชูโมเดล Shop in Shop & Cross Sale

กลยุทธ์หลักๆ ของ CRG ในปีนี้ ยังเดินหน้าไปที่การขยายสาขาเช่นเคย เเต่จะใช้รูปแบบร้านแนวใหม่ ‘Shop in Shop’ นำร่องเปิดเคาน์เตอร์อาริกาโตะร่วมกับร้านมิสเตอร์ โดนัท และใช้กลยุทธ์ Cross Sales ของทุกแบรนด์ในเครือ

ยกตัวอย่างเช่น การนำเมนูจาก บราวน์ คาเฟ่ (Brown Café) มาขายในร้านคัตสึยะ เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่และตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะขยายสาขาที่มีบริการเเบบ Cross Sales เช่นนี้ได้มากกว่า 400 สาขา

ปัจจุบัน CRG มีเครือข่ายร้านอาหารทั้ง 16 แบรนด์ จำนวนสาขามากกว่า 1,100 สาขา พนักงานมากกว่า 10,000 คน และเมนูที่มีมากกว่า 800 เมนู เจาะลูกค้าทุกกลุ่มอายุ ทุกไลฟ์สไตล์

ลงสนามกัญชากัญชง

ภาคธุรกิจกระโดดลงมาชิงเค้กตลาดกัญชากัญชงกันคึกคัก CRG เองก็ขานรับนโยบายปลดล็อกกัญชาเช่นกัน เปิดตัวอาหารไทย 10 เมนู ที่ปรุงจากใบกัญชาออร์แกนิกโดยสั่งซื้อมาจากวิสาหกิจชุมชนผัก พืชสมุนไพรและพืชพลังงาน ตำบลพนมรอก จ.นครสวรรค์

ประเดิมวางขายในร้านของแบรนด์ไทยเทอเรส และ อร่อยดี ด้วยคอนเซ็ปต์ต้มยำทำเเกงเเบบเมนูรื่นรมย์มีเมนูที่น่าสนใจอย่าง ยำเชิญยิ้มวุ้นเส้น เเกงรัญจวนชวนยิ้ม ซุปไก่ซดเพลิน เเกงเลียงกุ้งสดอารมณ์ดี ฯลฯ

ตอนนี้เราไม่ได้โปรโมตมากนัก เพราะห่วงกลุ่มลูกค้าที่ยังเป็นเยาวชน โดยถือเป็นตลาดที่น่าสนใจเเละคาดว่าจะได้รับความนิยมอย่างดีในระยะสั้น เเต่อย่างไรก็ต้องจับตาดูในระยะยาว ซึ่งจะมีการวางแผนขยายไปยังแบรนด์อื่นๆ ในเครือ CRG ต่อไป

Mobile Box Model : เล็กๆ เเต่คล่องตัว

CRG จะรุกเข้าหาลูกค้าผ่านพื้นที่ชุมชนต่างๆ โดยปีนี้เตรียมเปิดตัว ‘Mobile Box Model’ ในสถานีบริการน้ำมันและมินิคีออส (Mini Kiosk) ต่อจากโมเดลร้านเดลโก้ (Delco) ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้และขยายสาขาได้คล่องตัว

นอกจากนี้ จะต่อยอดโมเดล ‘แฟรนไชส์ที่เริ่มทำมาเเล้วกับแบรนด์อร่อยดี’ ที่มีทำเลเป้าหมาย คือ Non Mall, Residential Area, Stand alone

โดยในปีแรก มีจำนวนสาขาของบริษัท 25 สาขา และจำนวนสาขาแฟรนไชส์ 1 สาขา รวม 26 สาขา หลังจากนี้ปีที่ 2- 5 ตั้งเป้าหมายจำนวนสาขาของบริษัทต้องมีปีละ 10 สาขา

ส่วนจำนวนสาขาแฟรนไชส์ที่เปิดให้ผู้สนใจมาร่วมธุรกิจอร่อยดีปีแรกตั้งเป้าที่ 35 สาขา ปีที่ 2-4 จำนวน 45 สาขา และปีที่ 5 จำนวน 54 สาขา รวมทั้งหมดจะเปิดให้ได้ 300 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น CRG 75 สาขาแฟรนไชส์ 225 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของอร่อยดีนั้น กว่า 60% เป็นพนักงานออฟฟิศและทำธุรกิจส่วนตัว อายุระหว่าง 25 – 45 ปี

ยุคเเห่งเดลิเวอรี่เเละ ‘คลาวด์คิทเช่น’

เเม้สงครามเดลิเวอรี่จะเเข่งขันดุเดือด เเต่ก็คุ้มค่า CRG วางเป้าหมายจะขยายจุดบริการให้ครอบคลุมมากที่สุดพร้อมกับการจับมือกับพาร์ตเนอร์รายใหม่ๆ โดยชูจุดเด่นเรื่องความสะอาด บริการเร็วเเละตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ตั้งเป้ายอดขายผ่านเดลิเวอรี่ปีนี้ อย่างน้อย 3,000 ล้านบาท (จากปี 2020 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท)

ส่วนเป้าหมายของคลาวด์คิทเช่น’ (Cloud Kitchen) นั้น คาดว่าปีนี้จะขยายครบ 15 แห่งเเละกระจายไปทั่วประเทศให้ได้อย่างน้อย 50 แห่ง ภายในปี 2023

นอกจากนี้ จะลุยกลยุทธ์รุกช่องทางออนไลน์ ผ่านกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้น เน้นไปที่ O2O หรือ Online to Offline ผสานให้เป็น Omnichannel รวมไปถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ เช่น JD Central, Shopee และ LAZADA 

New Brand & New Business

CRG จะมีแบรนด์ร้านอาหารใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 แบรนด์ เเต่ยังไม่เปิดเผยว่าจะเป็นประเภทไหน โดยบอกเพียงว่า “เปิดกว้างเพื่อพาร์ตเนอร์รายใหม่ โดยเฉพาะ SMEs ที่หาโอกาสจะขยายธุรกิจให้ win-win ทั้งสองฝ่าย” ซึ่งมองว่าตอนนี้ ร้านอาหารเเนวสุขภาพก็มีเเนวโน้มเติบโตไปดี

ในปีที่ผ่านมา CRG เริ่มจับมือกับ ‘สลัดแฟคทอรี่’ (Salad Factory) เเละสามารถทำยอดขายผ่านช่องทางเดลิเวอรี่เติบโตถึง 400% เเละปีนี้ ตั้งเป้าผลักดันยอดขายรวมเติบโต 2 เท่า

ขณะเดียวกันก็จับมือกับโออาร์’ (OR) ขยายเครือข่ายร้านกาแฟ ‘คาเฟ่อะเมซอน’ ในประเทศเวียดนาม ล่าสุดเปิดสาขาแล้ว 5 แห่ง ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน นับจากสาขาแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2020 

CRG วางเเผนจะปรับพอร์ตธุรกิจ New Business ให้เพิ่มขึ้น จากสัดส่วน 7% ในปี 2019 ขยับมาที่ 22% ในปี 2020 จากอานิสงส์ COVID-19 เเละหวังว่าจะขยายให้เป็น 30% ได้ในปี 2030 

ทุ่มลงทุน 1 พันล้าน พร้อมปรับหลังบ้านใหม่ 

สำหรับเเผนการลงทุนในปีนี้ CRG วางงบประมาณไว้ทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท เเบ่งเป็นราว 600-700 ล้านบาทเพื่อใช้ในการขยายสาขา เเละอีกราว 300 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงเเละรีโนเวตระบบหลังบ้านใหม่ ส่วนอีกราว 3-4% จะเป็นงบการตลาด 

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา CRG วางงบลงทุนไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เเต่ด้วยวิกฤต COVID-19 ทำให้บริษัทใช้งบฯ ไปเพียง 470 ล้านบาทเท่านั้น ด้วยปีนี้มองว่าธุรกิจร้านอาหารในไทยจะกลับมาได้อีกครั้ง จึงตัดสินใจเพิ่มการลงทุน 

สำหรับทิศทางการเเข่งขันใน ‘ธุรกิจร้านอาหาร’ คาดว่าจะรุนแรงมากขึ้น ต่อสู้กันด้วยเดลิเวอรี่เเละขายออนไลน์ นอกจากเชนร้านอาหารรายใหญ่ เเละผู้ประกอบการรายย่อยเเล้ว ตอนนี้ยังมีกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ ‘นอกธุรกิจอาหาร’ เข้ามาเเจมสมรภูมินี้ด้วย ถือเป็นการดิสรัปต์วงการที่ทุกเจ้าต้องปรับตัว ‘ตามให้ทัน’ 

 

]]>
1325415
7-Eleven สหรัฐฯ เจาะฟาสต์ฟู้ด เปิดสาขา Drive-Thru แห่งแรก ชูเมนูพิเศษ เน้นซื้อง่ายขายเร็ว https://positioningmag.com/1324750 Wed, 24 Mar 2021 11:08:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1324750 เชนร้านสะดวกรายใหญ่ของโลกอย่าง ‘7-Eleven’ เร่งเจาะตลาดอาหารฟาสต์ฟู้ดมากขึ้น ล่าสุดประเดิมเปิดสาขา Drive-Thru แห่งแรกในสหรัฐฯ ให้ลูกค้าเข้ามาซื้อได้ง่าย รวดเร็วไม่ต้องลงจากรถ

ในช่วงการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เเบรนด์ฟาสต์ฟู้ดต่างๆ ต้องปรับตัวเพิ่มช่องทางการขาย ทั้ง Taco Bell, McDonald’s และ Burger King ต่างทยอยเปิดตัวนวัตกรรมใหม่เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น รวมไปถึงเชนร้านอาหารอย่าง Chipotle และ Shake Shack ก็มีการเพิ่มสาขาเเบบ Drive-thru ขึ้นอย่างรวดเร็ว

ลูกค้าที่กำลังมองหาวิธีเว้นระยะห่างจากสังคมในการทานอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็น จะต้องชอบบริการเเบบ Drive-Thru อย่างแน่นอน Chris Tanco ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ 7-Eleven ระบุในแถลงการณ์

Drive-Thru แห่งแรกของ 7-Eleven ในสหรัฐฯ จะตั้งอยู่ที่เมืองดัลลัส เป็นสาขาที่มีรูปแบบ ‘Evolution’ คือเป็นร้านที่จะทดลองขายเครื่องดื่มเเละเมนูใหม่ๆ ก่อนกระจายไปวางจำหน่ายในสาขาอื่นๆ ต่อไป ทำให้ลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้าน 7-Eleven เเบบ Evolution จะได้พบกับกาแฟสูตรพิเศษ ขนมอบสูตรใหม่ ไวน์เเละเบียร์ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเเละเครื่องสำอาง ฯลฯ

โดยสาขา Drive-Thru จะเปิดให้บริการในเวลา 05.00-22.00 . ในช่วงวันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสบดี และถึง 23.00 . ในวันศุกร์และวันเสาร์ (ส่วนสาขาทั่วไปของ 7-Eleven ในสหรัฐฯ จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง)

สำหรับเมนูของที่นี่ ลูกค้าจะได้พบกับ ‘ทาโก้’ บนแป้งตอร์ติญาเเบบโฮมเมดจาก Laredo Taco ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสไตล์เม็กซิกัน เเละมีเครื่องดื่มให้เลือกอีกกว่า 30 เมนู ตามคอนเซ็ปต์หยิบทาโก้สุดอร่อยขึ้นมาพร้อมกับเครื่องดื่ม Slurpee ได้อย่างสะดวกสบาย เพียงขับรถผ่าน

ย้อนกลับไป เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา Seven & i บริษัทเเม่ของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในญี่ปุ่น บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อ กิจการ Speedway ร้านสะดวกซื้อและสถานีบริการน้ำมันในอเมริกา ของ Marathon Petroleum ด้วยมูลค่า 2.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 

Seven & i เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดร้านสะดวกซื้อในอเมริกา ด้วยการขยายสาขากว่า 9,000 แห่ง ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง Alimentation Couche-Tard เจ้าของร้าน Circle K จำนวน 8,000 สาขา เเละอันดับ 3 อย่าง Speedway ที่มีสาขาประมาณ 4,000 แห่ง

การรวมกันของเจ้าตลาดร้านสะดวกซื้ออันดับ 1 เเละ 3 ในครั้งนี้ เเม้จะมีมูลค่ามหาศาลเเต่ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะจะทำให้ Seven & i เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสัญชาติญี่ปุ่นที่มีอิทธิพลในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐฯ ด้วยจำนวนสาขาในสหรัฐฯ และแคนาดากว่า 14,000 แห่ง โดยคาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ในไตรมาสแรกของปี 2021

อ่านเพิ่มเติม : ร้านสะดวกซื้อญี่ปุ่น ครองตลาดอเมริกา บริษัทแม่ 7-Eleven เข้าซื้อปั๊มน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐฯ

 

ที่มา : CNN , Business insider

]]>
1324750