Google ประเทศไทย ประกาศคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2564 ที่แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ที่ผ่านสายตาและจากคำค้นหาของผู้คนในประเทศไทย รวมทั้งการใช้ข้อมูลจาก Google Trends ที่นำเสนอมุมมองที่โดดเด่นและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการค้นหาของผู้คนตลอดทั้งปี ซึ่งมีผลมาจากเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนเทรนด์การค้นหาเพื่อช่วยการเยียวยาที่มาแรงในประเทศไทยในปีนี้
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีนี้ยังคงส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และต่อภาคธุรกิจของประชาชนทั้งประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คนไทยให้ความสนใจและขานรับต่อโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนวงเงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนและช่วยฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ 3 ใน 10 ของหมวดคำค้นหายอดนิยมปีนี้มาจากโครงการรัฐบาล ได้แก่ “เราชนะ” “คนละครึ่ง” และ “ม.33 เรารักกัน”
นอกจากนี้ ตลอดทั้งปีผู้คนยังคงให้ความสนใจ และค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย “วัคซีนโควิด” “โควิดวันนี้” และ “อาการโควิด” ติดโผ 3 ใน 10 คำค้นหายอดนิยมประจำปี ส่วนคำค้นหาด้านการศึกษาอย่าง “SGS” ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับการประเมินผลการเรียนรูปแบบใหม่ ตลอดจนคำค้นหาเพื่อความบันเทิง ผ่อนคลายและเฉลิมฉลอง เช่น “Popcat” เกมคลิกหน้าแมวที่เป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลก “กระเช้าสีดา” ละครดราม่าที่นำมารีเมกใหม่ และ “ลอยกระทงออนไลน์” ก็ติดโผคำค้นหายอดนิยมในปีนี้ด้วยเช่นกัน
ด้านข่าวเด่นยอดนิยมในปีนี้ ผู้คนให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และสุขภาพ โดยมีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้แก่ “ข่าวโควิดวันนี้” ที่ติดโผอันดับ 1 รวมทั้ง “ข่าวเคอร์ฟิวล่าสุด” และ “ข่าววัคซีน” ที่มาในอันดับ 5 และ 7 ตามลำดับ
นอกจากนี้ 4 ใน 10 ของคำค้นหายอดนิยมในหมวดข่าวเป็นข่าวอุบัติเหตุสะเทือนขวัญที่คนไทยติดตามและให้ความสนใจ ได้แก่ “ข่าวไฟไหม้” จากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของโรงงานในจังหวัดสมุทรปราการ “ข่าวน้ำท่วม” อุทกภัยจากอิทธิพลพายุเตี้ยนหมู่ “ข่าว BMW Z4” อุบัติเหตุทางถนนซึ่งมีผู้เสียชีวิตหลายรายจากรถ BMW Z4 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ และ “ข่าวเรือล่ม” ในจังหวัดอยุธยา ด้านข่าวการเมืองระดับโลกอย่าง “ข่าวพม่า” จากสถานการณ์การทำรัฐประหาร ติดโผในอันดับที่ 3 ส่วน “ข่าวอัฟกานิสถาน” และ “ข่าวอิสราเอล” ก็ติดอันดับในปีนี้ด้วยเช่นกัน
หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ผู้คนเริ่มมีความต้องการออกเดินทางท่องเที่ยวกันมากขึ้น ส่งผลให้หมวดสถานที่ท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งหมวดที่เข้ามาช่วยเยียวยาและผ่อนคลายจิตใจคนไทย โดยการค้นหาคำเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ และชื่อเมืองรองยอดนิยมประจำปีนี้ ปรากฏว่า “ระยอง” มาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วย “จันทบุรี” “กาญจนบุรี” ”กระบี่” และ “ชลบุรี” ในอันดับ 2-5 ตามลำดับ
สำหรับหมวดที่สามารถช่วยเยียวยาคนไทยคือหมวดการค้นหาคำว่า “วิธี” และในปีนี้ผู้คนยังให้ความสนใจการค้นหาวิธีต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์วิกฤตอย่างต่อเนื่อง โดย “วิธียืนยันตัวตน เราชนะ” ติดโผอันดับ 1 ส่วน “วิธีใช้คนละครึ่ง” “วิธีทำกระทง” “วิธีตรวจโควิด” และ “วิธีต้มน้ำขิง” ติดโผในอันดับ 2-5 ตามลำดับ
อีกหนึ่งหมวดที่มาแรงและติดอันดับการค้นหาเป็นปีแรกได้แก่หมวด “ต้นไม้” ที่ผู้คนเริ่มนิยมค้นหาพันธุ์ไม้ต่างๆ ตามกระแสในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน โดย “ต้นบอนสี” มาแรงเป็นอันดับ 1 ตามด้วย “ต้นดีหมี” “ต้นกระท่อม” “ต้นฟ้าทะลายโจร” และ “ต้นกล้วยด่าง” ในอันดับ 2-5 ตามลำดับ ซึ่งนอกจากต้นไม้เหล่านี้จะช่วยให้ผู้คนผ่อนคลายแล้วยังสามารถช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีอีกด้วย
คำค้นหายอดนิยมประจำปี 2564
]]>
จากสถานการณ์โรคระบาดที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้โรงพยาบาลในเขตกรุงเทพฯ เเละปริมณฑลเริ่มขาดเเคลนเตียงในการรักษา สำนักงานสาธารณสุขในหลายจังหวัด จึงออกประกาศ ให้ประชาชนผู้ที่มีผลตรวจยืนยันพบเชื้อโควิด-19 ที่มีความประสงค์จะกลับมารักษาตัวในพื้นที่ภูมิลำเนา โดยต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามพื้นที่ สามารถติดต่อสายด่วนของจังหวัดนั้นๆ เพื่อประสานงานกับทีมเเพทย์ในการเดินทางได้
โดยรายชื่อจังหวัดที่รับผู้ป่วยโควิด ‘กลับบ้าน’ ได้เเก่
1. จังหวัดมหาสารคาม
เบอร์ติดต่อ : 096-3423450
2. จังหวัดกาฬสินธุ์
เบอร์ติดต่อ : 043-019760 ต่อ 120-130
(ทุกวัน 08.30-20.00 น.)
3. จังหวัดนครพนม
เบอร์ติดต่อ : 082-8498155 , 061-0992999
4. จังหวัดสิงห์บุรี
เบอร์ติดต่อ : 061-3902229
5. จังหวัดกำแพงเพชร
เบอร์ติดต่อ : 093-1118594
6. จังหวัดมุกดาหาร
เบอร์ติดต่อ : 042-614270 , 081-2055908
7. จังหวัดอุบลราชธานี
เบอร์ติดต่อ : 082-6489270 , 096-6932139 , 096-3961783
(จันทร์ถึงศุกร์ 08.30-20.30 น.)
8. จังหวัดสุรินทร์
เบอร์ติดต่อ : 044-513999 (ในเวลาราชการ) , 092-5995108 (ตลอด 24 ชม.)
9. จังหวัดสระแก้ว
เบอร์ติดต่อ : 098-2728734 , 081-0510074
10. จังหวัดพะเยา
เบอร์ติดต่อ : 054-409123 (เวลา 08.30-16.30 น.)
11. จังหวัดยโสธร
เบอร์ติดต่อ : 045-712233 , 045-712234
12. จังหวัดอุตรดิตถ์
เบอร์ติดต่อ : 095-3126690
13. จังหวัดเลย
เบอร์ติดต่อ : 042-862123 ต่อ 2709 , 062-1977501 , ไลน์ : Referloei
14. จังหวัดเพชรบูรณ์
เบอร์ติดต่อ : 091-025-3596
15. จังหวัดสกลนคร
เบอร์ติดต่อ : 093-3285264
16. จังหวัดศรีสะเกษ
เบอร์ติดต่อ : 065-2400691 , 065-240680 , 065-2400688
17. จังหวัดพิษณุโลก
เบอร์ติดต่อ : 055-241555-9 (ในเวลาราชการ) , 088-2752261, 088-2919271 , 088-2752217 (นอกเวลาราชการ)
18. จังหวัดขอนแก่น
เบอร์ติดต่อ : 099-1692254 , 081-2604433 , 094-2891345
19. จังหวัดลำปาง
เบอร์ติดต่อ : 093-1408023
20. จังหวัดนครราชสีมา
เบอร์ติดต่อ : 081-2655604 , 065-1990188 (เวลา 08.30-20.30 น.) , 044-465010-4 ต่อ 440 (ในเวลาราชการ)
*ข้อมูลรวบรวม ณ วันที่ 1 ก.ค. 2564
]]>
โครงการลดหย่อนภาษีดังกล่าว จะเป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายของบริษัทที่หายไป ในช่วงที่พนักงานลาหยุดเพื่อไปฉีดวัคซีนและยังได้รับค่าจ้างปกติ รวมไปถึงในช่วงการพักฟื้นจากผลข้างเคียงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วย
สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก–กลาง และองค์กรไม่แสวงหากำไร ที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 ราย จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายมากสุดถึง 511 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันต่อคน ระยะเวลามากสุดถึง 10 วัน หรือ 80 ชั่วโมงทำการงาน ในระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2021
ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ยังเรียกร้องให้นายจ้างช่วยเเบ่งปันข้อมูลที่ถูกต้อง เเละ ‘เชิญชวน’ ให้พนักงานออกไปฉีดวัคซีน โดยให้สิทธิพิเศษอย่าง การแจกผลิตภัณฑ์ฟรีและให้ส่วนลดแก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนเเล้ว
ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 รายนั้น นับเป็นกว่า 50% ของภาคเอกชนในสหรัฐฯ โดยโครงการลดหย่อนภาษีนี้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีไบเดนเซ็นรับรองเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
As of today, every American is eligible to receive the COVID-19 vaccine. For yourself, your neighbors, and your family — please, get your vaccine. pic.twitter.com/o75JYpGe6r
— President Biden (@POTUS) April 19, 2021
สหรัฐฯ กำลังระดมฉีดวัคซีน ‘ระยะต่อไป’ หลังอนุญาตให้ประชาชนที่อายุมากกว่า 16 ปีทุกคน สามารถเข้ารับวัคซีนได้ “ถ้าคุณกำลังรอว่าเมื่อไรจะถึงคิวของคุณ คุณไม่ต้องรออีกต่อไป”
ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุกว่า 80% ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส ส่งผลให้อัตราเสียชีวิตในผู้สูงวัยลดลงตามไปด้วย
โจ ไบเดน ได้ประกาศความสำเร็จ หลังรัฐบาลสามารถกระจายวัคซีนต้านโควิด-19 ให้กับชาวอเมริกันได้ทะลุเป้าหมายใหม่ที่วางไว้ 200 ล้านโดส ภายใน 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่งแล้ว เเละสำเร็จก่อนกำหนดถึง 1 สัปดาห์
จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมเเละป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) รายงานอัตราการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ เฉลี่ย 3 ล้านครั้งต่อวันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.8 ล้านครั้ง ในช่วงต้นเดือนมีนาคม
เเต่อัตราการฉีดวัคซีน ‘ลดลง’ เล็กน้อยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ว่าประชาชนวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้รับวัคซีนเเล้วก็ตาม
ทางการสหรัฐฯ ได้สั่งระงับการฉีดวัคซีน COVID-19 ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) เป็นการชั่วคราว หลังพบรายงานภาวะการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน 6 ราย แม้ว่าวัคซีน J&J จะมีสัดส่วนน้อยกว่า 4% ของวัคซีนทั้งหมดกว่า 213 ล้านโดสที่สหรัฐฯ ฉีดไปจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีการใช้วัคซีนนี้ไปเเล้วมากกว่า 6.8 ล้านโดส
เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เผยว่า ตอนนี้สหรัฐฯ มีวัคซีน COVID-19 ของบริษัท Pfizer เเละ Moderna เพียงพอที่จะเร่งฉีดได้ 3 ล้านครั้งต่อวัน
ก่อนหน้านี้ มีความเห็นจากแพทย์ในสหรัฐฯ ที่เกรงว่าจะเกิดปัญหา ‘วัคซีนล้นประเทศ’ เพราะยังมีกลุ่มคนจำนวนมากกว่า 15-20% ที่ลังเลไม่อยากฉีดวัคซีน
]]>
ก่อนหน้านี้ ทางการตั้งเป้าว่าจะใชั Coronapas ได้ในช่วงกลางปี โดยจะเริ่มจากกลุ่มนักธุรกิจและนักลงทุนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศก่อน จากนั้นจะขยายให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม เเต่ตอนนี้มีความคืบหน้าไป ‘เร็วกว่าที่คิด’
Coronapas เป็นข้อมูลดิจิทัลที่จะเเสดงผลสุขภาพเกี่ยวกับ COVID-19 บนเเอปพลิเคชั่นในมือถืออย่างผลการตรวจหาเชื้อว่าเป็นลบ (Negative) ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา รวมถึงประวัติการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา หรือประวัติการติดเชื้อในช่วง 2-12 สัปดาห์ก่อนหน้า
สำหรับ Coronapas ของเดนมาร์กนั้นจะเเสดงข้อมูลในเเอปพลิเคชั่น ‘MinSundhed’ (MyHealth) ที่เชื่อมต่อกับเลขประจำตัวประชาชน ของผู้ที่พำนักในประเทศทุกคน ซึ่งจะมีรหัส CPR เพื่อใช้ระบุตัวตนพร้อมกับบัตรสุขภาพสีเหลืองที่มีบาร์โค้ด
เมื่อเข้าไปใช้บริการตรวจหาการติดเชื้อ COVID-19 ในโรงพยาบาลหรือศูนย์สุขภาพของรัฐ จะมีการให้สแกนบาร์โค้ดหรือกรอกรหัส CPR ดังกล่าว จากนั้นจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลบันทึกและแสดงผลใน Coronapas ของผู้ใช้ทันที เเละสามารถยื่นขอใบรับรองเเบบกระดาษได้
โดยมีการกำหนดให้เเสดงข้อมูล Coronapas ก่อนเข้าใช้บริการร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ สนามเเข่งขันกีฬา สวนสัตว์ เเละพื้นที่สาธารณะที่มีการชุมนุมของคนหมู่มาก ซึ่งต่อไปจะมีการขยายให้ครอบคลุมมากขึ้น เเละใครฝ่าฝืนอาจต้องโทษปรับ (เด็กเล็กได้รับการยกเว้น)
ด้านคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เสนอให้มีการออกใบอนุญาตเดินทางระบบดิจิทัล หรือ ‘Digital Green Pass’ เพื่อเปิดพรมเเดนให้ผู้คนเดินทางเเละร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย พร้อมส่งเสริมอุตสาหกรรม ‘ท่องเที่ยว’ ของประเทศสมาชิก คาดเปิดตัวภายในสิ้นเดือนมิถุนายน
เเต่ประเด็นความกังวลเรื่อง ‘ความเป็นส่วนตัว’ นั้นยังมีการถกเถียงกันในบางประเทศ แต่เดนมาร์กเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ยอมรับแนวคิดนี้อย่างเต็มที่
Mette Frederiksen นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก ระบุว่า เราจะกลับมาขับเคลื่อนประเทศได้อีกครั้ง ตรงกันข้ามกับหลายประเทศที่กำลังประสบอยู่ปัญหาอยู่
ฝั่งความเห็นของประชาชน จากผลสำรวจล่าสุดพบว่า ส่วนใหญ่ยอมรับ การใช้ Coronapas โดยกว่า 67% ของชาวเดนมาร์กคิดว่าหนังสือเดินทางดิจิทัลเป็นไอเดียที่ดี ขณะที่มีเพียง 16% เท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย
สวนสัตว์เเห่งหนึ่งในกรุงโคเปนเฮเกน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเเห่งเเรกที่ทดลองใช้ Coronapas มีบรรยากาศสุดคึกคัก เต็มด้วยครอบครัวที่พาลูกหลานมาต่อคิวเข้าชมจำนวนมาก
“มันทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น” ผู้ปกครองคนหนึ่งบอกกับ BBC เเละอีกคนบอกว่า “ฉันคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในตอนนี้” ขณะที่มีพ่อเเม่บางคนเห็นว่า “ฉันไม่คิดว่าเราต้องการมัน (Coronapas) จริงๆ”
‘เดนมาร์ก’ มีประชากรทั้งหมดราว 5.8 ล้านคน มีอัตราการทดสอบหา COVID-19 ต่อประชากรสูงกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ประสบความสำเร็จในการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 3 สวนทางกับหลายประเทศในยุโรปที่ยังต้องเผชิญกับความลำบากในการจัดการโรค
โดยชาวเดนมาร์กราว 1 ใน 5 ได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 เข็มเเรกเเล้ว เเละตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้กับ ‘ผู้ใหญ่ทุกคน’ ให้ได้ภายในต้นเดือนสิงหาคมนี้ ดังนั้นระบบการทดสอบที่เข้มงวดจึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการบังคับใช้ ‘Coronapas’
ที่มา : BBC , healthcareitnews
]]>สำหรับผู้ที่ต้องการขอรับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดย ‘ไม่เสียค่าใช้จ่าย’ นั้น จะต้องเข้า ‘เกณฑ์เสี่ยง’ ตามเงื่อนไขกรมควบคุมโรค ได้เเก่
โดย ‘กลุ่มเสี่ยง’ สามารถตรวจโควิด-19 ได้ฟรี ที่ ‘รพ.รัฐและเอกชน’ ทุกเเห่ง หรือตรวจกับ ‘รถตรวจโควิดเคลื่อนที่’
ค้นหาสถานพยาบาลที่มีห้องปฏิบัติการตรวจโควิด-19 ทั้ง 275 แห่งทั่วประเทศ ได้ที่เว็บไซต์ service.dmsc.moph.go.th/labscovid19
สำหรับผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ผ่านการลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อจองคิวก่อนเข้ารับบริการทาง https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php
สำหรับผู้ที่ ‘ไม่เข้าเกณฑ์เสี่ยง’ ตามเงื่อนไขของกรมควบคุมโรค หากมีความประสงค์จะเข้าตรวจโควิด-19 กับโรงพยาบาลรัฐ หรือเอกชน ด้วยวิธี RT-PCR มีค่าบริการ เเตกต่างกันไป ดังนี้
(วิธี RT-PCR)
–ขอใบรับรองแพทย์ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
-ระยะเวลาการเเจ้งผล เเตกต่างกันในเเต่ละรพ.
(วิธี RT-PCR)
(วิธี RT-PCR)
ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลง เเละมีรพ.หลายเเห่งงดตรวจชั่วคราว โปรดตรวจสอบกับทางโรงพยาบาลอีกครั้ง
–ข้อมูล ณ วันที่ 8 เมษายน 2564
ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ให้ข้อมูลว่า KBank ยังคงคาดการณ์เป้าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 2.6%
มีหลายประเด็นที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ‘ฟื้นตัวช้า’ ตามหลังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยเฉพาะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวคิดเป็นกว่า 10% ของ GDP
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดการคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 2564 มาอยู่ที่ประมาณ 2-4.5 ล้านคน จากเดิมที่คาดไว้ 4.5-7 ล้านคน
ตัวเเปรหลักของเศรษฐกิจไทยคือ ‘วัคซีน’ ต้องติดตามการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ตลอดจนการ
กระจายวัคซีนในประชากรหมู่มากจนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ ซึ่งจะมีผลต่อการกำหนดแนวทางการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว ณ ขณะนี้มองไว้ว่าน่าจะเป็นช่วงปลายปี 2564
ณัฐพร คาดว่า กว่าที่เศรษฐกิจไทยจะกลับไปเท่าที่ระดับก่อนโรคระบาดได้คงใช้เวลาจนถึงปี 2565-2566 เพราะปัญหาจาก COVID-19 ในรอบนี้ กระทบภาคธุรกิจจริงตรงๆ ต่างจากปี 2540 ที่มีจุดกำเนิดจากธุรกิจการเงิน
“การฟื้นตัวของธุรกิจหลังผ่านพ้นช่วง COVID-19 คงไม่ทั่วถึง และยังมีโจทย์เชิงโครงสร้างที่รออยู่ อีกทั้งสังคมสูงอายุ ตลาดผู้บริโภคเล็กลง ปัญหาหนี้ครัวเรือน และปัญหาความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ”
ด้าน เกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เสริมว่า ภาคท่องเที่ยวในไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ ‘เปราะบางที่สุด’ ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมในจังหวัดที่พึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก เช่นใน 6 จังหวัดอย่าง ภูเก็ต, กระบี่, พังงา, สุราษฎร์ธานี, ชลบุรี เเละกรุงเทพฯ ที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ ขณะที่ธุรกิจค้าปลีกได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง และการปิดพื้นที่ชั่วคราว
“ปัญหาโควิดในครั้งนี้คงทำให้โรงแรม 30-40% อาจต้องออกจากตลาดไป เน้นไปที่โรงแรมในกลุ่มราคาประหยัด (Budget) หรือราคาระดับกลาง (Midscale) รวมไปถึงธุรกิจค้าปลีก อย่างร้านค้า SMEs ในห้างที่มีสัดส่วนกว่า 30% ของผู้ประกอบการรายย่อยไทยในภาคการค้าทั่วประเทศ”
เเม้ช่วงที่ผ่านมา คนไทยจะหันมา ‘เที่ยวในประเทศ’ กันมากขึ้น โดยคาดว่า ปี 2564 จะอยู่ที่ราว 90-120 ล้านคนต่อครั้ง แต่ยังไม่สามารถทดแทนการหายไปของรายได้ที่พึ่งพิงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เคยสร้างรายได้ให้ธุรกิจในภาคโรงเเรมไทยถึง 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 70%
สำหรับประเด็นเรื่อง ‘Vaccine Passport’ มองว่า ยังไม่อาจคาดหวังได้มากในขณะนี้ เพราะยังไม่มีหลักฐานการศึกษาว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว จะไม่ติดเชื้อหรือแพร่เชื้ออีกครั้ง ประโยชน์ในเรื่องนี้คงเกิดกับเฉพาะบางประเทศที่รับความเสี่ยงได้ มากกว่าจะเป็นประโยชน์ในระดับโลก
ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ‘โจทย์เฉพาะหน้าคือ การดูแลปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจและครัวเรือน’
“ภาคการเงินต้องติดตามสภาพคล่องภาคธุรกิจ SMEs มีปัญหาไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ แม้ว่าตอนนี้ตัวเลขหนี้เสีย (NPL) จะยังไม่สะท้อนมาก เพราะยังอยู่ในช่วงมาตรการผ่อนปรนการจัดชั้นหนี้ของธปท.ก็ตาม”
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงดังกล่าว เห็นได้จากตัวเลขจำนวนผู้ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินที่คงไต่ระดับขึ้นจากปลายปี 2563 ที่ 27.6% และ 14.7% ของสินเชื่อสำหรับกลุ่มเอสเอ็มอีและลูกค้าบุคคลรายย่อยตามลำดับ
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่เปราะบางนั้น คาดว่าภาครัฐจะมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น Asset Warehousing แต่อาจไม่เร็วพอ เพราะยังต้องรอรายละเอียดในหลายประเด็น ด้านลูกค้าหากมีสัญญาณปัญหาการชำระหนี้ ก็แนะนำให้รีบคุยกับสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องรอให้เป็น NPL ก่อน
“ธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป เเต่คาดว่าตลาดจะเล็กลง จากหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากปีก่อนที่ 86% ปีนี้น่าจะแตะ 90-91% ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อลดลง เเละการเข้าสู่สังคมสูงอายุของไทยที่กำลังใกล้เข้ามา ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้”
]]>
จากรายงานขององค์การ Oxfam ระบุว่า เกือบทุกประเทศในโลก มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
เมื่อนำสินทรัพย์ของเหล่ามหาเศรษฐีรวยที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ COVID-19 เริ่มระบาด พบว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าประมาณ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีระบบเศรษฐกิจเอื้อให้กลุ่มคนร่ำรวย สามารถรักษาความร่ำรวยไว้ได้ ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางอันเลวร้าย
ขณะที่กลุ่มมหาเศรษฐี 1,000 อันดับเเรกของโลก กลับมามีสภาพคล่องทางการเงิน ‘เทียบเท่า’ ช่วงก่อนเกิดโรคระบาดได้ (Pre-pandemic) เร็วภายใน 9 เดือน ส่วนคนยากจนต้องใช้เวลามากกว่านั้นถึง 14 เท่า หรือคิดเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10 ปีในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยกลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวยจำนวนนี้ ที่เป็นผู้ชายผิวขาว (White Male) จะกลับมามีฟื้นตัวทางการเงินได้เร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ ด้วย
ผลการสำรวจขององค์การ Oxfam ครั้งนี้ จัดทำขึ้นโดยนักเศรษฐศาสตร์ 295 คนจาก 79 ประเทศทั่วโลก พบว่า 87% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าจะเกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ในประเทศของตน ‘เพิ่มขึ้น’ หรือ ‘เพิ่มขึ้น อย่างมาก’ อันเป็นผลมาจาก COVID-19
โดยวิกฤตนี้ ทำให้เกิดปัญหาการจ้างงานที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 90 ปี ส่งผลให้ประชาชน ‘หลายร้อยล้านคน’ ทั่วโลกต้องตกอยู่ในภาวะไม่มีงานทำ เวลาทำงานลดลงและตกงาน ส่วนผู้คนอีก ‘หลายพันล้านคน’ เเละผู้ที่อยู่แนวหน้าในการเผชิญกับโรคระบาด อย่าง พนักงานร้านค้า ผู้ค้าขายในตลาด เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อชีวิตเเละรายได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ด้านปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศก็ยังมีเพิ่มขึ้นต่อไป โดยผู้หญิง เป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด เพราะได้ค่าจ้างต่ำกว่าที่จะเป็น เเละยังต้องตกงานในช่วงล็อกดาวน์มากกว่าผู้ชาย
Oxfam ระบุอีกว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังเเสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางเชื้อชาติอีกด้วย โดยกลุ่มชาติพันธุ์ชายขอบ มีแนวโน้มที่จะถูกผลักให้ต้องเผชิญกับความยากจนมากขึ้น และถูกกีดกันออกจากระบบทางสาธารณสุข
Gabriela Bucher ผู้อำนวยการ Oxfam International เเนะว่า การต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำเป็นหัวใจสำคัญของการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องจัดการเเละดูแลให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเงินช่วยเหลือ สวัสดิการต่างๆ รวมถึงวัคซีน โดยควรมีการ ‘จัดเก็บภาษี’ อย่างยุติธรรมเพื่อประโยชน์ของทุกคนไม่ใช่แค่เฉพาะผู้มีสิทธิพิเศษเพียงไม่กี่คนโลกเท่านั้น
]]>
สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดหลายคนที่มองว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ไวรัสโคโรนาจะกลายเป็น ‘โรคประจำถิ่น’ ที่สามารถพบได้ตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้มีอัตราการระบาดจะลดลงแล้วก็ตาม
Stephane Bancel ซีอีโอของ Moderna กล่าวในงาน JPMorgan Healthcare Conference ตอนหนึ่งว่า ‘ผู้คนทั่วโลกอาจจะต้องอยู่กับไวรัสชนิดนี้ตลอดไป มันจะไม่หายไปไหน’
ด้านเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข กำลังจับตาการกลายพันธุ์ของ COVID-19 อย่างต่อเนื่อง เเม้ตอนนี้จะมีการผลิตวัคซีนออกมาเเละมีการเริ่มฉีดให้ประชาชนบางส่วนเเล้ว เเต่นักวิจัยจากรัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ ระบุว่า พวกเขาเพิ่งค้นพบ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ 2 ชนิดที่มาจากอเมริกา เเละเริ่มเเพร่ระบาดในประเทศมาอย่างน้อย 3 สัปดาห์เเล้ว ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2020
ก่อนหน้านี้ มีการค้นพบการกลายพันธุ์ของ COVID-19 ในอังกฤษเเละเเอฟริกาใต้ ก่อนจะลุกลามไปเเล้วกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดว่าการกลายพันธุ์ดังกล่าวสามารถเเพร่ระบาดได้ ‘เร็วขึ้น’ กว่าเดิมมาก
โดยองค์การอนามัยโลก ระบุว่าตอนนี้มีไวรัส COVID-19 อยู่ 4 สายพันธุ์ เเต่ความรุนเเรงที่อาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตยังไม่เท่ากับสายพันธุ์เดิม
ด้านนักวิจัยจาก Pfizer ระบุว่า วัคซีนที่ได้ร่วมพัฒนากับ BioNTech นั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกัน COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในอังกฤษและในแอฟริกาใต้
ส่วนวัคซีนของ Moderna เพิ่งได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ให้สามารถใช้กับชาวอเมริกันที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปได้ แต่วัคซีนสำหรับเด็กยังต้องพัฒนาต่อไป เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กแตกต่างกับผู้ใหญ่
ตอนนี้ ทางการสหรัฐฯ กำลังเร่งเเจกจ่ายวัคซีนให้กับประชาชน เเต่ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าที่จะครอบคลุมประชากรในจำนวนที่เพียงพอให้เกิด ‘herd immunity’ หรือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้
ซีอีโอของ Moderna มองว่า สหรัฐฯ น่าจะเป็นหนึ่งในประเทศขนาดใหญ่ชาติเเรกๆ ที่ประสบความสำเร็จจากการปกป้องจากโรค COVID-19 ด้วยการฉีดวัคซีนอย่างเพียงพอ
ที่มา : CNBC
]]>
“การฉีดวัคซีนจะเป็นไปโดยสมัครใจ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลาของคุณ คุณจะไปฉีด เพื่อช่วยป้องกันคุณและครอบครัว เพราะวัคซีนจะช่วยดูแลให้เราทุกคนปลอดภัยไปด้วยกัน” นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ของสิงคโปร์ วัย 68 ปี กล่าวเชิญชวนหลังเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19
โดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้เฝ้าระวังอาการ หลังฉีดวัคซีนดังกล่าวราว 30 นาที พบว่า ผู้นำสิงคโปร์มีอาการปกติดี เเละมีนัดกลับมาฉีดอีกครั้งในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่คณะรัฐมนตรีทั้งหมดก็กำลังจะเข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นเดียวกัน
รัฐบาลสิงคโปร์ อ้างผลสำรวจพบว่า มีประชาชนเกือบ 60% พร้อมเข้ารับวัคซีน แต่ก็ยังมีชาวสิงคโปร์บางคนที่ยัง ‘ลังเล’ เพราะมองว่าสถานการณ์การเเพร่ระบาดในประเทศบรรเทาลงเเล้ว มีอัตราการติดเชื้อลดลงมาก เเละเกรงว่าวัคซีนที่ได้รับการพัฒนาอย่างเร่งรีบ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
แม้ว่าสิงคโปร์จะไม่ได้บังคับให้ประชาชนทุกคนต้องฉีดวัคซีน แต่รัฐบาลก็วางแผนสร้างแรงจูงใจ ด้วยการพิจารณา “ผ่อนคลายข้อจำกัด” บางอย่างด้านการเดินทางให้แก่ผู้ที่ยอมฉีดวัคซีนด้วย
ก่อนหน้านี้ บุคลากรทางการแพทย์บางส่วน ได้รับวัคซีนเป็น “กลุ่มแรก” เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เเละจะเริ่มฉีดวัคซีนให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขส่วนใหญ่ ตั้งแต่วันนี้ (8 มกราคม) เป็นต้นไป ตามมาด้วยประชากรกลุ่มเสี่ยงอย่าง “ผู้สูงอายุ” ให้ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ เเละคาดว่าจะเเจกจ่ายวัคซีนให้เพียงพอสำหรับชาวสิงคโปร์ราว 5.7 ล้านคน รวมถึงชาวต่างชาติผู้พำนักระยะยาวทุกคน ภายในสิ้นปี 2021
ณ ตอนนี้ สิงคโปร์ ได้อนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ที่พัฒนาโดย Pfizer -BioNTech เพียงขนานเดียวเท่านั้น เเต่ในช่วงต่อไป รัฐบาลมีเเผนจะทำข้อตกลงซื้อ Moderna บริษัทเวชภัณฑ์ของสหรัฐฯ ที่เพิ่งได้รับการรับรองจากองค์การยาแห่งสหภาพยุโรป เเละอาจจะสั่งซื้อวัคซีน Sinovac Biotech ของจีน ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นทดลองระยะที่ 3
โดยต่อไป สิงคโปร์ได้เตรียมพร้อมการขนส่งวัคซีนไปยังประเทศอื่น หวังยกระดับประเทศให้เป็น “จุดศูนย์กลาง” ของการขนส่งวัคซีนไปทั่วภูมิภาค หลังจากแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชากรทั้งประเทศแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขของไทย ประกาศว่า จะมีการนำเข้าวัคซีนของ Sinovac Biotech จำนวน 2 แสนโดสเข้ามาไทย ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้อย่างแน่นอน เเละในช่วงปลายเดือนมีนาคมจะมีการนำเข้าอีก 8 แสนโดส และปลายเดือนเมษายนอีก 1 ล้านโดส รวมทั้งหมดเป็น 2 ล้านโดส
อ่านเพิ่มเติม : ‘เครือซีพี’ ทุ่มเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท เข้าถือหุ้น 15% ใน ‘ซิโนแวค’ บริษัทผลิตวัคซีนโควิด
]]>
โดยมีการสั่งปิดร้านค้าปลีก สถานบันเทิง สถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่อื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิต (non-essential business) ทั่วประเทศ
Rishi Sunak รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหราชอาณาจักร เเถลงว่า รัฐบาลจะทุ่มเงินเพิ่ม 4.6 พันล้านปอนด์ (ราว 1.87 แสนล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีก ท่องเที่ยวและสถานบันเทิงที่ต้องปิดให้บริการชั่วคราว ภายใต้คำสั่งมาตรการล็อกดาวน์ โดยแต่ละธุรกิจจะได้รับเงินชดเชยมากที่สุดถึง 9,000 ปอนด์ (ราว 3.6 เเสนบาท)
นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษ ยังเตรียมจัดสรรงบประมาณอีกจำนวน 594 ล้านปอนด์ (ราว 2.4 หมื่นล้านบาท) เพื่อเข้าช่วยเหลือธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ครั้งนี้ด้วย
โดยเงินเยียวยาดังกล่าวจะเน้นไปที่การพยุงธุรกิจรายย่อยให้อยู่รอดในช่วงที่ต้องขาดรายได้ ส่วนเเรงงานที่โดนพักงาน (furlough scheme) ก็จะได้รับเงินชดเชยที่เเยกจ่ายต่างหาก ซึ่งถูกขยายโครงการไปจนถึงปลายเดือนเมษายน
“เงินชดเชยก้อนนี้จะช่วยธุรกิจสามารถอยู่รอด ทันช่วงรอยต่อที่กลับมาเปิดทำการได้ตามปกติ” Sunak ระบุ
สำหรับการล็อกดาวน์ ครั้งที่ 3 มีผลบังคับใช้จนถึงช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ โดยจะมีความเข้มงวดระดับสูงสุดในอังกฤษ เพราะเป็นพื้นที่พบผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากที่สุด ส่วนสกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ให้นำข้อบังคับไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของตัวเอง
ปัจจุบันสหราชอาณาจักรมียอดผู้ป่วย COVID-19 สะสมอย่างน้อย 2.7 ล้านคน เสียชีวิตสะสมกว่า 7.5 หมื่นคนโดยสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง หลังมีความกังวลเกี่ยวกับการพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ “ชนิดกลายพันธุ์” ครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ เมื่อช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้เร็วขึ้นอีก 70% ซึ่งสายพันธุ์ใหม่ ที่พบในสหราชอาณาจักรและแอฟริกาใต้ยังเป็นคนละชนิดกันด้วย ทำให้ตอนนี้นานาชาติได้สั่งระงับเที่ยวบินจากอังกฤษเพื่อสกัดไวรัสกลายพันธุ์ดังกล่าว
ด้านความคืบหน้าด้านการฉีดวัคซีน รัฐบาลอังกฤษประกาศเป้าหมายระยะเเรก จะเเจกจ่ายให้กลุ่มเสี่ยงจากโรค COVID-19 ได้แก่ บุคลากรการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้สูงอายุ และเจ้าหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ รวมประมาณ 13 ล้านคน ต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส ภายในกลางเดือน ก.พ.นี้
โดยนับตั้งแต่เริ่มแจกจ่ายวัคซีนครั้งเเรก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ตอนนี้มีประชาชนเข้ารับวัคซีนมากกว่า 1.3 ล้านคน ในจำนวนดังกล่าวราว 6.5 เเสนคน เป็นผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 80 ปี
]]>